วันที่ผมเขียนบทความนี้คือวันที่ 23 มิถุนายน 2564 ซึ่งก็เป็นวันนับถอยหลัง 30 วัน สำหรับโอลิมปิกโตเกียว 2020 ที่มาจัดแข่งในปี 2021 อันเนื่องมาจากการระบาดของ โควิด-19 ที่การแข่งขันในครั้งนี้จะไม่มีอนุญาติให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าชมในสนาม ในขณะที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นเองส่วนหนึ่งก็มีความกังวลในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ ที่จะเป็นตัวเร่งให้โควิด-19 ระบาดมากยิ่งขึ้นเพราะขณะนี้ญี่ปุ่นเองก็ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมอัตราการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นเองก็ฉีดวัคซีนครบโดสมีแค่ 10.4 ล้านคน คิดเป็น 8.2 % เท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
สำหรับโอลิมปิคครั้งที่ 32 โตเกียว 2020 นี้ โตเกียวได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกจัดเมื่อ 56 ปีที่ผ่านมาในปี 1964 นอกจากมีการเลื่อนการแข่งขันออกมา 1 ปีซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนั้น ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่การแข่งขันครั้งนี้สมควรบันทึกไว้ดังต่อไปนี้
1.มีกีฬาใหม่ถอดด้ามเข้ามาแข่งขันเป็นครั้งแรกด้วย 4 ชนิด คือกีฬาคาราเต้, กีฬาสเกตบอร์ด, กีฬาโต้คลื่น และกีฬาปีนผา และยังได้บรรจุกีฬาเบสบอล และกีฬาซอฟท์บอล อีกครั้งหลังจากที่เคยจัดการแข่งขันที่ ปักกิ่งในปี 2008
2.ในการคัดเลือกเมืองเจ้าภาพนั้นมีผู้เผ่านเข้ารอบสามเมืองคือ โตเกียว อิสตันบูล และมาดริด แต่เนื่องจากในการลงคะแนนรอบแรกไม่มีเมืองใดได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่ง ซี่งโดยปกติก็จะเอาเมืองที่หนึ่งกับสองมาลงคะแนนใหม่ แต่ครั้งนี้เนื่องจากที่สองกับสามคะแนนเท่ากันคือ 26 คะแนน ระหว่าง มาดริด กับ อิสตันบูล จึงต้องลงคะแนนตัดออกหนึ่งเมืองเพื่อไปเป็นผู้ถ้าชิงกับโตเกียว ปรากฏว่าอิสตันบูลเฉีอนชนะมาดริดไป 49:45 และในรอบตัดสิน ญี่ปุ่นชนะอิสตันบูลไปขาดลอย 60:36
3.มูลค่าของผู้สนับสนุนในการจัดการแข่งขั้นในครั้งนี้ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก ซึ่งมูลค่าสูงถึง 1.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ มากกว่าปักกิ่ง 2008 ที่มูลค่า 1.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ แต่จากการเลื่อนการแข่งขันและยังไม่มีผู้ชมต่างชาติเข้าชมด้วย ก็ไม่ทราบว่าจะมีการปรับเปลี่ยนสัญญาการสนับสนุนการแข่งขันหรือไม่ อย่างไร ? เพราะจำนวนคนดู เกมส์การแข่งขัน อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะมีหลายชาติไม่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน
3.สำหรับเมืองที่เป็นเจ้าภาพแล้วถ้ามองระยะสั้นดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าการลงทุน แต่สำหรับญี่ปุ่นแล้วได้คิดวางแผนถึงอนาคตเพราะ สิ่งที่จะทิ้งไว้หลังเกมส์การแข่งขันก็จำเป็นต้องวางแผนให้เหมาะสมและคุ้มค่า ตลอดจนคำนึงถึงสังคมที่น่าอยู่ในอนาคตด้วย เช่น ในครั้งแรกที่จัดโอลิมปิกเมื่อปี 1964 เพราะได้มีการเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศผู้แพ้สงครามเป็น มหานครที่เจริญที่สุดแห่งหนี่งของโลกมาจนถึงปัจจุบัน รถไฟฟ้า “ชินคันเซ้น” ที่เร็วที่สุดในโลกนั้นก็ถือกำเนิดในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน สำหรับครั้งนี้ ชาวโลกจะได้เห็น ** เทคโนโลยี่ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายทอดแบบ 8K **การใช้รถพลังงานไฟฟ้า ** การใช้หุ่นยนต์ในการสื่อสาร การช่วยเหลือนักกีฬา การพาผู้ชมไปนั่งยังที่นั่ง ฯลฯ ** แม้แต่มาสคอ้ตก็เป็นหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า มิไรโตะวะ (MIRAITOWA) มาจากภาษาญี่ปุ่น 2 คำด้วยกันคือ มิไร (Mirai) ที่แปลว่า “อนาคต” เข้ากับคำว่า โทวะ (Towa) ที่แปลว่า “นิรันดร์” ซึ่งแสดงออกถึงความการหลอมรวม นวตกรรม+วัฒนธรรม นั่นเอง
4.สุดท้ายคือการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่รักษ์โลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เช่น การมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ การทำเหรียญรางวัลจากขยะอีเลคโทรนิคส์จำนวนถึง 5,000 เหรียญ ใช้พลังลมและแสงอาทิตย์ในการสร้างพลังงานให้กับหมู่บ้านนักกีฬา ชุดของนักกีฬาญี่ปุ่นในพิธีเปิดและปิดจัดทำโดย ASICS ที่เป็นบริษัทญี่ปุ่น ผลิตมาจากเสื้อผ้ารีไซเคิล (ต้องการแสดงเทคโนโลยีการผลิต) เป็นต้น
โดยมีเป้าหมายให้เป็นโอลิมปิกที่มีนวตกรรมที่ทันสมัยที่สุด และแน่นอนครับสำหรับญี่ปุ่นเอง คงได้ขนทั้งเทคโนโลยี่ มาสคอต การ์ตูน เกมส์ วัฒนธรรม และความเป็น ญี่ปุ่น ออกมาขายในทุกมิติ ผมเฝ้ารอว่าในพิธีเปิดญี่ปุ่นจะขายอะไร ให้ฮือฮาเหมือนตอน ที่ให้นายกอาเบะรับมอบธงที่ริโอเมื่อปี 2016 โดยแปลงเป็นมาริโอก็ทำให้โลกตะลึงมาแล้วและเป็นที่ทอคล์ออฟเดอะทาวน์มาแล้ว ก็ต้องรอดูว่า โตเกียว 2020 พิธีเปิดจะทำให้โลกตะลึงได้แค่ไหนกัน ... แต่รับประกันซ่อมฟรีว่าต้องคุ้มค่าแก่การรอคอยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น