วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สื่อสารเป็น...จะไม่เห็นหายนะ

 

สื่อสารเป็น...จะไม่เห็นหายนะ

7 ตุลาคม 2564

 



                สุภาษิตโบราณท่านว่าไว้  “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท “   แต่ถ้าโม้เป็น “สมรักษ์”  ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะ ตำแหน่ง หรือเป็นใครในสังคมนั้น  ก็จำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการสื่อสารซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง  ที่จะทำให้ภารกิจของคุณนั้นสำเร็จหรือไม่อย่างไร ??   ถ้าอ่านบริบทแค่นี้ก็คงนึกว่าจะเป็นเฉพาะคนที่ต้องใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการประกอบอาชีพ  เช่นพนักงานขาย  นักพูด  ไลฟ์โค้ช  ฯลฯ   แต่....หาเป็นเช่นนั้นไม่  เพราะทุกอาชีพนั้นจำเป็นจะต้องพูดและใช้ทักษะในการพูดเพื่อให้คู่สนทนา คนฟัง  สาธารณะ  หรือ ประชาชน  เชื่อ  คล้อยตาม ปฏิบัติตาม  

                โดยนิยาม   การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา และคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งสาร หรือ องค์กรนั้นๆ ต้องการ  โดยภาษาที่ใช้ในการสื่อสารนั้นแบ่งได้เป็นสองลักษณะ ดังนี้   

               1 วัจนะภาษา (Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารด้วยการใช้ภาษาพูด หรือเขียนเป็นคำพูด ในการสื่อสาร

 2.อวัจนะภาษา (Non-Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารโดยใช้รหัสสัญญาณอย่างอื่น เช่น ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถึงน้ำเสียง โทนเสียง ระดับเสียง ความเร็วในการพูด เป็นต้น

ซึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นจะต้องประกอบไปด้วยภาษทั้งสองคอยเกื้อหนุนกัน  บางครั้งการพูดว่า”ขอโทษ”  แต่ว่าใช้คำที่ห้วน ดวงตาไม่รู้สึกว่าขอโทษ หน้าตายิ้มสแยะ  แถมต่อท้ายว่า “ขอโทษก็ได้”  เหมือนที่ผู้นำบางคนใช้กันอยู่บ่อยๆ  .....  ซึ่งแน่นอนว่าการพูดหรือเขียนทุกๆครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำ หรือ บุคคลสาธารณะ จำเป็นจะต้องคิดให้ดีก่อนที่จะพูดออกไปอย่าพูดพล่ามไปเรื่อย  ซึ่งดูเหมือนว่าดี  ทั้งๆที่ตนเองไม่มีทักษะในการพูดที่ทำให้คนฟังรู้สึกดี  หรือผู้ที่ไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องนั้นๆก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด(ก็ได้)  หรืออาจจะตอบคำถามแบบเลี่ยงๆก็ได้   ดังเช่นที่ ท่าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  เป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้   ท่านไม่ค่อยพูดแต่พูดเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์และสื่อสารกับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ  ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แบบไร้สาระ  จนทำให้บางครั้งก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะสื่อสารจริงๆแบบนั้นเช่น ตอนไปเยี่ยมประชาชนที่ถูกน้ำท่าว  ให้ประชาชนสวดมนต์ /  สร้างบ้านให้ยกสูง ฯลฯ  ซึ่งผมเชื่อว่าท่านไม่ได้มีเจตนาจะสื่อสารอย่างนั้น  แต่ด้วยท่านนายกขาดทักษะและพูดไปเรื่อยๆ (เรียกได้ว่าไม่มีวัตถุประสงค์ที่แท้จริง)  จนทำให้เหตุการณ์กลายเป็นขี้ปากของฝ่ายค้านไป  ถ้าท่านแค่สื่อสารว่ามาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ  ขณะนี้รัฐบาลกำลังทำ 1...2...3...  คาดว่า X วัน น้ำจะลดลงเป็นปกติหากไม่มีพายุเข้ามาใหม่ฯลฯ  รับรองว่าท่านจะได้ใจประชาชนอีกแยะ  ไม่ใช่พูดว่า “ขอให้อดทน ผมเองก็ลำบาก”  พูดแล้วได้ประโยชน์อะไร ??

หลายครั้งท่านก็พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย  เช่น ตอนเอาสเปรย์แอลกอฮอลล์ฉีดใส่นักข่าว  ซึ่งผมเชื่อว่าเจตนาท่านต้องการหยอกล้อ  สร้างความเป็นกันเองกับนักข่าว อยากให้คลาดเครียดบ้างเพราะตอนนั้นโควิดระบาดหนักมาก  กลับกลายเป็นประเด็นทางการเมืองไปเสียฉิบ   สิ่งที่อยากจะบอกก็คือทักษะเหล่านี้ไม่สามารถสร้างได้ในระยะเวลาอันสั้น  ต้องฝึกฝน เรียนรู้  ทั้งจากการอ่าน การฟัง และการสังเกตุ จดจำ  และไม่กระทำผิดแบบซ้ำซาก  ซึ่งก็เชื่อได้ว่าทีมงานประชาสัมพันธ์คงจะได้แจ้งให้ท่านทราบ (หรืออาจจะไม่กล้าแจ้ง ???)   เพื่อให้การออกสู่สาธารณะของท่านนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้รับสารนั้นเกิดความพึงพอใจ  แต่สุดท้ายจะด้วยอะไรก็แล้วแต่  ขอบอกว่า....เรียนรู้และแก้ไข ..คือปัจจัยแห่งความสำเร็จ

                สุดท้ายนี้ขอฝากประเด็น 5.ส. เพื่อความสำเร็จในการสื่อสาร   ดังนี้

                1.สนิท  สร้างความสนิทสนมกับผู้รับสาร  ด้วยการเรียนรู้ รู้จักผู้รับสารในกรณีที่จำนวนคนไม่มาก  หากท่านได้รู้จักชื่อและทักทาย หรือทักผู้บริหาร องค์กร  ผู้นำ ผู้นำชุมชน  หรือ ตัวเด่นๆ ของผู้รับสาร  ก็จะเป็นการสร้างความสนิทสนม  

                2.สนใจ  ต้องสร้างจุดสนใจให้กับผู้รับสาร  เพื่อที่จะได้ติดตามการสื่อสารนั้นให้มีประสิทธิภาพ ต้องดึงให้ผู้รับสารทั้งหมดมุ่งความสนใจมายังผู้ส่งสารและเรื่องราวที่จะสื่อสารนั้น ตัวอย่าง พี่โน้สอุดม ทุกเดี่ยวจะเริ่มต้นด้วย ..”หากพวกเรากำลังสบายจง.....”  ดึงคนมาสนใจบนเวทีแม้จะไม่จำเป็นเพราะคนสนใจมาดูพี่โน้สอยู่แล้ว  และประโยคแรกๆจะต้องเป็นประโยคทองที่ทำให้คนสนใจติดตามตอนต่อไป

                3สาระ  สารนั้นจะต้องมีสาระไม่ใช่พล่ามไปเรื่อยๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  2-3 นาทีแรก  หากมีแต่น้ำท่วมหาสาระมิได้  ก็จะไม่สามารถสะกดผู้รับสารได้จนทำให้การสื่อสารนั้นล้มเหลว  เช่น ไม่ใช่พล่ามแต่ความดีของตนเอง  หรือ พูดไม่ตรงกับเรื่องที่จะพูด  หรือ จับต้นชนปลายไม่ได้เรย

                4.สุข / สนุก  ต้องใส่เรื่องราวหรือตัวอย่างที่เรียกเสียงหัวเราะ หรืออารมณ์ขันได้อย่างพอดี ไม่มากไปน้อยไป  หรือ ใส่ไม่ถูกจังหวะ  เช่น การบอกให้ไปขายยางพาราที่ดาวอังคาร ซึ่งคงต้องการแค่ขำๆ  แต่ท่านเป็นบุคคลสาธารณะและขำผิดจังหวะไป (แยะ)

                5.สัมผัส (ได้)  เรื่องที่จะสื่อสารนั้นจะต้องสัมผัสได้ โดยเฉพาะตัวอย่างที่ยกจะต้องรู้สึกได้ และเป็นนามธรรม  สามารถจินตนาการ  คาดการณ์ได้   ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือประชาชนที่น้ำท่วม  ไม่ใช่พูดแต่ว่ารัฐบาลทำเต็มที่แล้วและดีกว่าปี 2554   แต่ต้องบอกได้ว่าขณะนี้ได้จัดรถจีเอ็มซีของทหารมาสนับสนุนจังหวัดนี้แล้วจำนวน XX คน  พร้อมทั้งกำลังพล YY คน  /  จัดงบให้ หัวละ ZZ บาท โดยใช้งบของ อปถ.  ฯลฯ เป็นต้น  ก็จะทำให้การสือสารนั้นเข้าถึงผู้รับสารอย่างแท้จริง  นั่นเอง..........

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...