27 กันยายน 2564
จริงๆแล้วกระแสของน้อง “ลิซ่า” แห่งวงแบล๊คพิงค์นั้นมีมานานพอสมควรแล้ว แต่มันมาดังระเบิดเมื่อออกเอ็มวีเมื่อ 10 กันยายน 2564 ที่มีผู้เข้าชม 100 ล้านคนเร็วที่สุด ซึ่งใช้เวลาแค่ 49 ชั่วโมง 5 นาที และก็ทะลุหลายร้อยล้านวิวไปเรียบร้อย และก็มีการพูดกันถึง SOFT POWER กันมาเป็นระยะๆโดยนัยยะแล้วหากแปลตรงๆก็คงไม่ได้ความหมายที่แท้จริง เพราะแม้กระทั่งวิกิพีเดียยังแปลว่า “อำนาจอ่อน” ดังนี้
อำนาจอ่อน (อังกฤษ: soft power) คือ แนวคิดที่พัฒนาโดยโจเซฟ เนย์ (Joseph Nye) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งมีความสามารถในการดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วมมากกว่าการบังคับหรือให้เงิน ในปัจจุบันใช้ในการเปลี่ยนแปลงและสร้างอิทธิพลต่อความคิดของสังคมและประชาชนในประเทศอื่น โดยอาศัยทรัพยากรพื้นฐาน 3 ประการได้แก่ วัฒนธรรม (culture) ค่านิยมทางการเมือง (political values) และนโยบายต่างประเทศ (foreign policies)
แต่ผมเองขอแหกคอกขอให้คำจำกัดความของ SOFT POWER ว่า พลังแห่งสุนทรียศาสตร์ เพราะเป็นเรื่องพลังของความงามทั้งในด้าน ศิลป และธรรมชาติ ซึ่งแต่ละยุคสมัยก็จะปรุงแต่งให้แตกต่างกันออกไป อันรวมถึง เพลง ภาพยนต์ กีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม ฯลฯ ที่สามารถครอบงำความคิด พฤติกรรม ของผู้รับได้อย่างมีนัยสำคัญ
เร็วๆนี้เราก็มีนักกึฬาที่เป็น SOFT POWER ให้กับสังคมไทยนั่นคือ น้องเทนนิส นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิค โตเกียว 2020 ซึ่งหลังจากที่กีฬาเทควันโดสามารถสร้างปรากฏการณ์โดยโค้ช “ชัชชัย เชว์” ผู้ที่ทำให้เทควันโดไทยได้เหรีญโอลิมปิคเหรียญแรก แม้จะเป็นเหรียญทองแดงจาก เยาวภา บุรพลชัย ในเอเธนส์ ก็ปลุกกระแสความนิยมในการเล่นเทควันโด้กันอย่างแพร่หลาย มีโรงเรียนสอนเทควันโด้มากมายเกิดขึ้นในประเทศไทย และยิ่งน้องเทนนิสได้เหรียญทองประวัติศาสตร์ด้วยแล้วก็ยิ่งสร้างความนิยมโดยมี ฮีโร่นักกีฬาทั้งหลายเป็นต้นแบบให้กับน้องๆเยาวชนทั้งหลาย รวมทั้งพ่อแม่ก็ส่งเสริมให้บุตรหลานเล่นกีฬาเทควันโด้กันมากขึ้น
ซึ่งนับได้ว่ากีฬานั้นนับได้ว่าเป็น SOFT POWER ด้านหนึ่ง โดยเราจะสังเกตุได้จาก NBA ดึงเหยาหมิง นักกีฬาจีนไปเล่นใน NBA จึงทำให้ NBA ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในจีนอย่างแพร่หลาย โดยที่ประเทศจีนมีประชากร 1.398 พันล้านคน มีถึง 300 ล้านคนที่เล่นกีฬาบาสเกตบอล และมีถึงกว่าครึ่งของประชากรคือ 800 ล้านคนที่ดูการแข่งขัน NBA แบบถ่ายทอดสด อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ “เจลีก” ที่เคยมีนักกีฬาไทยสูงสุดถึง 5 คน ไปเล่นในเจลีก ในฤดูกาล 2019 ถึง 6 คน คือ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ธีราทร บุญมาทัน ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ จักรกฤษ ลาภตระกูล (เจ 2) ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม (เจ 3) ตะวัน โคตรสุโพธิ์ และ พงศ์รวิช จันทวงษ์ (เจ 3) แม้ฤดูกาลนี้ จะเหลือนักเตะไทยค้าแข้งในเจลีกอยู่เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ก็คือ เจ–ชนาธิป ที่จะอยู่กับ คอนซาโดเล ซัปโปโร เป็นปีที่ 4 กับ อุ้ม–ธีราทร ที่ยังคงเล่นให้กับโยโกฮามา เอฟ มารินอส ต่อไป ทำให้คนไทยที่แต่เดิมดูแต่ฟุตบอลอังกฤษ หรือ ยุโรป หันมาดูเจลีกเพิ่มขึ้น และที่น่าสนใจคืออิทธิพลของพรีเมียลีกของอังกฤษที่มีต่อผู้ชมชาวไทย คงเป็นคำตอบได้ดีถึง SOFT POWER...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น