ในที่สุดเราก็อยู่กับโควิด-19 มาครบ 2 ปี เพราะการค้นพบโรคนี้ในเดือนธันวาคม 2562 และแพร่ระบาดสู่ประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญในเดือน มีนาคม เมษายน 2563 แล้วก็ระบาดระลอก 1..2..3..4...และเข้าสู่ระลอก 5 ณ.บัดนาว จากความกลัวแบบจิตตก ก็เหลือแค่ความกลัวมาก และลดลงตามกาลเวลา เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน หากมีหรือไม่มีทางป้องกันรักษาก็ตาม นี่คือความดิ้นรนและปรับตัวเพื่อการอยู่รอดของมวลมนุษย์ชาติ
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งตกค้างและดำรงอยู่ที่ไม่ใช่ในทางสาธารณสุขก็คือ “ปัญหาทางเศรษฐกิจ” ที่แม้วันนี้จีดีพีของไทยเราจากตอนต้นปี 64 คาดว่าอาจจะติดลบ แต่ตอนนี้เชื่อได้ว่าคงบวกนิดหน่อยตามประมาณการของผู้รู้ไม่ว่า ธปท. ศศก. ก็น่าจะอยู่ระหว่าง 1-2 เปอร์เซนต์ พอย่างเข้า 2565 มีปรากฏการณ์ที่ผิดปกติขึ้นในระบบเศรษฐกิจของไทย นั่นก็คือข้าวของราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หมู” และอาหารการกิน ซึ่งทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีในภาวะปกติถ้ามีเงินเฟ้อนั้นแสดงว่าเศรษฐกิจมีการหมุนเวียน มีการจับจ่ายใช้สอย ไม่ใช่เหมือท่านนายกที่ว่าเงินเฟ้อทำให้ของแพง (ขำไม่ออก) เพราะข้อเท็จจริงคือของแพงทำให้เงินเฟ้อต่างหาก หุหุ....
แต่ที่ไม่ปกติก็คือเราจะเห็นว่ามีเงิน น่าจะ / อาจจะฝืด หรือไม่อย่างไร ถ้าใช่ละก็หายนะกำลังมาเยือนซึ่งจะได้ขอขยายความแบบบ้านๆ เพราะไม่ได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก่อนอื่นต้องเข้าจำคำนยามของทั้ง “เงินเฟ้อ” และ “เงินฝืด” ดังนี้
เงินเฟ้อ (Inflation) หมายถึง เหตุการณ์ที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เรียกง่ายๆว่าของแพงขึ้นนั่นเอง ซึ่งมีสาเหตุหลักๆสองประการ คือ
1. มีความต้องการสินค้า บริการ เพิ่มขึ้น Demand–Pull Inflation หรือเรียกแบบบ้านๆว่ามีคนอยากซื้อสินค้านั้นมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องดีถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่พอประมาณ ซึ่งจะทำให้ห้างร้าน โรงงาน เพิ่มกำลังผลิต จ้างงาน โอที ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน จีดีพีเติบโต
2. การที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น Cost–Push Inflation เช่นพลังงาน น้ำมัน ค่าแรง ค่าขนส่ง ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้มันสัมพันธ์กันทั้งสิ้น และสาหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือการที่สินค้าขาดแคลน หรือ วัตถุดิบขาดแคลน ก็ทำราคาสูงขึ้น จนสุดท้ายแล้วหากผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้(กำไรไม่คุ้มค่า) ก็จะปรับราคาสินค้าและบริการนั้นนั่นเอง
เงินฝืด Deflation ก็คือการที่สิ้นค้าและบริการราคาลดต่ำลง เนื่องจากผลิตมากกว่าการขายนั่นเอง หรืออีกนัยแบบบ้านๆก็คือตามชื่อเรยครับ ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยอันเนื่องมาจากตกงาน ไม่มีโอที รายได้ลดลง ฯลฯ นอกจากนี้แม้ว่ารายได้อาจจะไม่ได้ลดลงแต่ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อลดลง ก็จะทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เช่นไม่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดี โบนัสเงินเดือนน่าจะได้น้อย หรือไม่ได้ หรือยิ่งแย่ไปกว่านั้นลดลง หรือในภาวะสงคราม เกิดภัยพิบัติต่างๆ ทำให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอยกันนั่นเอง
แต่ถ้าภาวะเกิดขึ้นทั้งเฟ้อและฝืดด้วย ก็คือเงินก็น้อยของก็แพงละก็ผมขอให้ชื่อว่า ภาวะ “เรอเหม็นเปรี้ยว” คือเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกบอกไม่ถูก อธิบายได้ตามภาพที่อยู่ด้านบนนี้
ซึ่งเป็นภาพคำอธิบายและนิยามแบบไม่ใช่นักเศรษฐศาตร์นะครับ ผมพยายามจะอธิบายสิ่งที่เกินขึ้นในเดือนมกราคม 2565 นั้นก็คือของทุกอย่างแพงหมด อาหาร พลังงาน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่ในเวลาเดียวกันเงินในกระเป๋ามีเท่าเดิมหรือน้อยลง อันเนื่องมาจากไม่ได้เพิ่มเงินเดือน(แต่ยังมีงานทำ ได้รับเงินเดือนตรงเวลา) หรือแย่ไปกว่านั้นก็ตกงาน ทำมาค้าขายได้เงินน้อยลงวนเป็นลูกโซ่ โบนัสไม่ได้หรือได้น้อยลง โอทีไม่มีหรือมีน้อยลง ฯลฯ ทำให้ขาดความเชื่อมันดังได้กล่าวไว้ในตอนต้น แถมของยังมาแพงอีก ก็เลยยิ่งจับจ่ายใช้สอยน้อยลงก็เลยยิ่งทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ หรือถดถอยนั่นเอง
ก็ต้องหวังพึ่งรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้อย่างรวดเร็วเพราะยิ่งปล่อยไปนาน ผู้คนก็จะยิ่งขาดความเชื่อมั่นก็ยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศไปอีก อันนี้ก็ต้อเวทแอนด์ซีว่านายกและผู้เกี่ยวข้องจะทำอย่างไร ขออย่างเดียวอย่างแนะนำให้เราเลี้ยหมูบ้านละ 2 ตัว ก็พอ....เพราะไก่ที่เลี้ยงไว้ กับ ผักชีที่ปลูกไว้ มันไม่พอกินครับ ..ท่าน !!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น