เทศกาล ..สำราญใจ
20 ธันวาคม 2566
ผมเขียนบทความนี้ในวันก่อนวันตรุษจีน และวันงานวิ่งบุรีรัมย์มาราธอน 1 วัน เพราะเห็นว่ามีมุมมองที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดรัฐบาลต้องการการกระตุ้นหรือทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย อันจะมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “จีดีพี” ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในบางช่วงก็มีการเพิ่มวันหยุดพิเศษเพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยว และจับจ่ายใช้สอยจนในแต่ละปีเราจะมีวันหยุดซึ่งรวมเสาร์อาทิตย์แล้ว 120+ วันทีเดียวคิดเป็นถึง 32.87 % ต่อปี
แต่ว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็จะมีความพิเศษตรงที่เป็นเทศกาลที่ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย มากกว่าเทศกาลอื่นๆเพราะว่ามีทั้ง การซื้อของเพื่อไห้วเจ้า การเดินทางไปพบบรรพบุรุษ การมอบเงินพิเศษที่เรียกว่าแตะเอีย การซื้อของขวัญให้กัน ฯลฯ และเมื่อมาผนวกกับ “บุรีรัมย์มาราธอน 2023” เข้าไปด้วยแล้ว ก็เรียกได้ว่าทำให้เมืองบุรีรัมย์นั้นคึกคักเป็นพิเศษ
ขอย้อนกลับมาเทศกาลตรุษจีนก่อนว่าในปี 2566 นี้ทางศูนย์วิจัยกสิกรได้ให้ข้อมูลว่า เฉพาะคนกรุงเทพ จะมีเม็ดเงินจับจ่ายใช้สอยถึง 12,330 ล้านบาท หรือขยายตัวราว 5.0% ซึ่งนับว่าขยายตัวน้อยมากแม้ว่าจะเปิดให้ทำกิจกรรมต่างๆอย่างไม่มีข้อจำกัดเพราะโควิดแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพราะว่าเม็ดเงินในกระเป๋าของประชาชนและความมั่นใจในรายได้ในอนาคตยังมีคำถามอยู่ จึงใช้จ่ายอย่างระมัดระวังนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วการที่จีนประกาศเปิดประเทศและอนุญาติให้คนจีนเดินทางไปต่างประเทศได้ทำให้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (ซึ่งพึ่งนักท่องเที่ยวจีน ไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซนต์ ) คาดหว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 588,900 คน เรียกได้ว่า ประมาณ 6 แสนคน สร้างรายได้รวมประมาณ 21,296 เห็นตัวเลขแล้วก็ชื่นใจแต่ก็ต้องดูระยะยาวว่าจะยืนได้แบบนี้ไปถึงสิ้นปีหรือไม่
ย้อนกลับมาที่ว่า “เทศกาล.....สำราญใจ” ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจนั้น เราสามารถแบ่งได้เป็นสองลักษณะดังนี้
1.เทศกาลที่อมีอยู่แล้ว เช่น ประเพณี วัฒนธรรม เทศกาลที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่างคือ ตรุษจีน สงกรานต์ ออกพรรษา ลอยกระทง แต่สิ่งเหล่านี้ก็จะพบได้ว่า จะมีหลายหน่วยงาน หลายจังหวัด ที่จัดงานวัฒนธรรมประเพณีเหล่านี้ นั่นหมายความว่าแต่ละแห่งก็ต้องไปแย่งชิงลูกค้าให้มาร่วมงานที่จังหวัดของตน ลอยกระทงก็จะช่วงชิงกันระหว่าง สุโขทัย กับ เชียงใหม่เป็นหลัก หรืออาจจะรวมอยุธยา เป็นต้น ทำให้คนไม่ไหลมารวมกันที่งานใดงานหนึ่ง ผมเคยไปที่ประเทศญี่ปุ่นแต่จำเมืองไม่ได้แล้วซึ่งเป็นเมืองไม่ใหญ่มีเทศกาลที่เอาเจ้าที่อยู่ในศาลมาขึ้นขบวนแห่ แต่.......เค้าให้คนที่มาร่วมงานได้มีส่วนร่วมและประสบการณ์ในงานอย่างลึกซึ่ง เพราะปกติแล้วเราไปดูเทศกาลในลักษณะนี้ก็จะยืนดูเฉยๆ หรือมีส่วนร่วมบ้าง แต่งานนี้ทางผู้จัดงานได้จัดทำเชือกที่ใช้ลากจูงขบวนแห่ซึ่งถ้าทำเส้นยาวๆก็คงมีค่า 2-4 เส้น ประชาชน+นักท่องเที่ยวก็เข้าร่วมได้น้อยคน ดังนั้จึงได้ขยายแตกแขนงออกเป็นร้อยๆแขนงคล้ายๆกับก้างปลา เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการลากจูงอัญเชิญเทพเจ้านี้ ที่สำคัญ.......เมื่อเสร็จสิ้นจะมีเจ้าหน้าที่มาตัดท่อนเชือกส่วนที่เราจับและใช้ลากจูงนั้นให้นำกลับไปบูชาที่บ้านอีกด้วย จะทิ้งก็ไม่กล้าทิ้งกลัวเทพจะมาเข้าฝันเลยต้องนำกลับมาและวางไว้บนหิ้งพระจนถึงทุกวันนี้ .......ดังนั้นผู้จัดงานอาจมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์ให้นักท่องเที่ยวได้มีประสบการณ์ในลักษณะนี้ และเอามูเตลูมาเป็นเครื่องมืออีกทางหนึ่ง
2.เทศกาลที่สร้างขึ้น เราจะเห็นได้ว่าหลายๆหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัด เทศบาล หรือ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆ ก็ได้มองเห็นถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจจึงได้พยายามคิดหาทาง สร้างเทศกาลต่างๆขึ้นเพื่อดึงนักท่องเที่ยว เช่น เทศกาลกินปลาทูของจังหวัดสมุทรสงคราม งานดอกไม้งามเชียงรายซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่19 แล้ว และที่จะนำเสนอเทศกาลที่กลายเป็นตำนานของบุรีรัมย์ . คือ “บุรีรัมย์มาราธอน ครั้งที่ 7 “ ซึ่งผมได้ไปเข้าร่วม ในครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 7 นี้ด้วย สำหรับปี 2566 นี้ มีนักวิ่งต่างชาติเข้าร่วมถึง 46 ชาติร่วมจำนวน (เฉพาะต่างชาติ) 1,063 คน รวมนักวิ่งไทยเข้าไปก็กว่า 27,000 คน และคาดว่าหลังจากจบงานนี้แล้วบุรีรัมย์มาราธอน จะได้รับมาตรฐานระดับเหรียญทอง (Gold Label ) รายการแรกของไทย และจะเป็นไนท์รันแรกของโลกที่ได้รับการรับรองในระดับนี้ นอกจานี้แล้วจะมีอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกกว่า 5,345 คน ผู้ติดตามนักวิ่งและกองเชียร์ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ รวมแล้วไม่น้อยกว่า 45,867 คน ทำให้จะมีสื่อประชาสัมพันธ์ประเทสไทย และ บุรีรัมย์ไปทั่วดลก ที่สำคัญไปกว่านั้นจะมีกระแสเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากการจัดการแข่งขัน 531,947,798.30 บาท และในอนาคตเชื่อว่า “ทางลุงเน” จะพัฒนาได้ไปเทียบเคียงกับ โตเกียวมาราธอน / บอสตันมาราธอน ในอาคต
ก่อนกลับไปทานกาแฟร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้สนามบิน มีแคปชั่นเด็ดๆของ “ลุงเน” ที่ผมอยากนำมาเล่าให้ฟังเพื่อที่ผู้นำในทุกระดับจะได้นำไปปรับใช้กับองค์กรของท่านต่อไปในอนาคต
"แม้พระเจ้าไม่ได้ให้ภูเขาบุรีรัมย์แบบเขาใหญ่ พระเจ้าไม่ได้ให้ทะเลบุรีรัมย์แบบหัวหิน แต่พระเจ้าให้มันสมองคนบุรีรัมย์มา... ผมเชื่อว่า Resource is limited, Creativity is unlimited ฉนั้น ด้วยมันสมอง ด้วยวิธีคิด ด้วยกำลังความสามัคคีของคนในบุรีรัมย์ เราน่าจะช่วยกันสร้างให้เมืองบุรีรัมย์เป็นเมืองท่องเที่ยว" “
คารวะ 3 จอก ครับ “ลุงเนวิน” อ้อ ....ช่วยไปบอก “ลุงตู่” ด้วยนะครับ 55555.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น