วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

บอลข่าน ย่านสงคราม

 


บอลข่าน  ย่านสงคราม

26 เมษายน 25678

            ช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ลางานมากที่สุดในประวัติการทำงานของผม  คือลางานทั้งสิ้น  9 วัน รวมวันหยุดต่างๆแล้วจัดทริปไป  15 วัน   และนับเป็นทริปต่างประเทศที่ยาวนานมากที่สุดที่เคยเดินทาง   ซึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปยังคาบสมุทรบอลข่านที่หลายคนคงสงสัยว่ามันอยู่ตรงใดของแผนที่โลก    แต่ถ้าถามว่ารู้จักยูโกสลาเวีย  โคโซโว  บอสเนีย หรือไม่ก็คงตอบว่าคุ้นเคยมากซึ่งเรามักจะเห็นอยู่ในข่าวอยู่เสมอเกี่ยวกับ  สงครามยูโกสลาเวียซึ่งเป็นสงครามที่แสดงความขัดแย้งทางชาติพันธ์ที่อาจจะเรียกได้ว่าร่วมสมัย   เพราะสงครามนี้เกิดขึ้นในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียใน ค.ศ. 1991 ถึง 2001  ความขัดแย้งนำไปสู่การล่มสลายของยูโกสลาเวียในที่สุด  

หลังจากนั้นก็แยกเป็นประเทศเอกราชใหม่จำนวน 6 ประเทศ คือ สโลวีเนีย, โครเอเชีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, มอนเตเนโกร, เซอร์เบีย และมาซิโดเนียเหนือ  (อดีตมีชื่อว่า มาซิโดเนีย แต่ชื่อเหมือนรัฐของตุรกีรัฐหนึ่ง  ซึ่งเดิมก็มีชาติพันธ์เดียวกัน )  แต่ทริปนี้ผมยังได้เดินทางไปอีกสามประเทศรวมเป็น 8 ประเทศ (ไม่ได้เดินทางไปสโลวีเนีย)   คือ ออสเตรีย ,โคโซโว แต่จริงๆแล้วชื่อ คอซอวอ  ที่เป็นรัฐในการดูแลของสหประชาติและเพิ่งเป็นรัฐเอกราชเมื่อ 2551 แค่ 16 ปีเอง  และแอลบาเนีย        ภายหลังสงครามยุติแต่ละประเทศก็เริ่มต้นฟื้นฟูประเทศนับถึงวันนี้ก็แค่ 23 ปี  ก่อนเดินทางไปก็คิดว่าประเทศเหล่านี้คงล้าหลัง  ปรักหักพัง  ฯลฯ เพราะเพิ่งผ่านสงครามมาไม่นานนัก  แต่ปรากฎว่าผิดคาด  ทันสมัย (ในระดับหนึ่ง)  การคมนาคมขนส่ง ผู้คน แม้จะไม่เจริญหรือมีอารยะเทียบเท่าประเทศในยุโรปอื่นๆก็ตาม  แต่ก็ดีกว่าหลายๆประเทศในเอเชียที่มีอารยธรรมมายาวนาน  แม้ไกด์จะชี้ให้เห็นถึงรอยกระสุนที่ยังคงมองหาได้ในบางตึก  และบางตึกก็ยังคงมีทิ้งร้างพร้อมรอยกระสุน แถมได้ไปดูอุโมงค์ในซาราเจโวที่ใช้ในระหว่างสงครามในการเดินทางเข้าไปรับสิ่งของช่วยเหลือในสนามบินก็ตาม 



สิ่งที่ค้นพบในการเดินทางครั้งนี้ก็จะพบว่าทุกประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างเม็ดเงินได้เร็วและตรงไม่ต้องผ่านกระบวนการซื้อวัตถุดิบ  ผลิต  ขนส่ง  ขาย  เก็บเงิน ฯลฯ  แม้ว่าสถานที่ท่องเทียวยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเพราะมีแต่  โบสถ์  วิหาร อาราม วัง  หอนาฬิกา (ที่มีทุกเมืองเรยนะอิอิ)  สแควร์หรือจตุรัสกลางเมือง  หรือลานโล่งๆที่ไว้ใช้จัดกิจกรรม  และใกล้ๆกันมักจะมีถนนคนเดิน  หรือ ตลาดเก่า   และมีจุดถ่ายภาพที่จะได้ช่วย ปชส.การท่องเที่ยวไปด้วย   หากเราถ่ายภาพๆหนึ่งในกรุงเทพหรือเชียงใหม่  แล้วคนที่ไม่รู้จักไม่เคยมาจะทราบได้ว่าเป็นที่ไหน   เราจะทำอย่างไรครับ.....ง่ายมาก  และทุกคนอาจจะคาดไม่ถึงก็คือ  การสร้างป้ายที่ลานกว้างๆไว้เป็นจุดถ่ายรูปและเช็คอินของเมืองๆนั้น  ถ้าในกทม.ผมขอเสนอให้สนามหลวง  และมีวัดพระแก้วเป็นฉากหลัง  รับรองเป๊ะปังครับเพราะหากมีแค่วัดพระแก้วคนอื่นๆก็ที่ไม่เคยรู้จักหรือเคยมาก่อนก็จะไม่ทราบว่าที่ใด   ลองดูตัวอย่างขอ ซาราเจโว  กับ ทิรานา เมืองหลวงของแอลบาเนียตามภาพประกอบดูนะครับ




มีข้อสังเกตุอีกประการหนึ่งคือวีซ่าในการเข้าประเทศ   ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่ได้เป็นสมาชิกในอียู  และ วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ซึ่งเป็นวีซ่าที่ใช้ในการเดินทางเข้าออกประเทศในแถบยุโรป โดยที่หากมีวีซ่านี้ไม่ว่าจะทำที่สถานฑูตประเทศอะไรใน 26 ประเทศก็สามารถเดินทางเข้าออกบรรดาสมาชิกทั้งหลายได้     แต่หากเรามีวีซ่าเชงเก้นแล้วสามารถเดินทางไปยัง 7 ประเทศนี้ได้เรย  เปรียบเสมือนว่าได้ถูกกลั่นกรองมาแล้วว่าบุคคลนั้นๆมีคุณสมบัติเพียงพอขนาดประเทศสมาชิกเชงเก้นได้ออกวีซ่ารับรองมาแล้ว   ทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็วและกระตุ้นให้เกิดการเดินทางได้มากขึ้น  บ่อยขึ้นนั่นเอง    หรือหากไปอเมริกาใต้หากมีวีซ่าอเมริกาแล้วก็เข้าได้เรยซึ่งระยะเวลาของวีซ่าอเมริกานั้นยาวนาว   5-10 ปี แล้วแต่คุณสมบัติของแต่ละคน   หรือ แคนาดาก็ให้วีซ่าเท่ากับอายุพาสปอร์ตของเราที่ใช้งานอยู่   ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการเดินทางซ้ำ  บ่อย  ถี่  ขึ้นนั่นเอง

น่าที่รัฐไทยจะได้นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในการออกวีซ่าเช่น คนที่มีวีซ่าเข้าญี่ปุ่น  อเมริกา  อียู  อังกฤษ  สามารถเข้าประเทศไทยได้เรย  หรือให้วีซ่าเท่ากับอายุพาสปอร์ตเพราะเราได้ตรวจสอบคุณสมบัติดีแล้วในระดับหนึ่ง (ซึ่งในอนาคตก็สามารถยกเลิกวีซ่าได้ หากข้อมูลเปลี่ยนแปล หรือเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ )   ลูกค้าผมขนาดมาเมืองไทยเป็นสิบครั้งขอแบบมัลติเพิลวีซ่า   ยังได้แค่ 3-6 เดือนเลย  น่าจะให้ไปเรย   3-5  ปี   จะดีกว่าฟรีวีซ่าคือไม่ต้องทำวีซ่าแล้วเข้าประเทศไทยได้เลยเราก็จะได้  จีนเทา  แขกขายโรตีขายถั่วมาเต็มเมืองหรือไม่  ????

หรือวีซ่าอาเซียนไปเรยเพราะเห็นเคยมีดำริเรื่องนี้มาแล้วเป็น 10  ปี ฝาก รมต.ต่างประเทศคนใหม่ล่าสุดที่เพิ่งโปรดเกล้าฯเมื่อวานนี้ด้วยก็แล้วกัน   เพราะไหนๆความสามารถในการแข่งขันของประเทศเราลดลงไปเรื่อยๆ   ก็เห็นมีแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว  อุตสาหกรรมเวลเนส  อุตสาหกรรมบริการ   นี่แหละที่คงจะพอพยุงเศรษฐกิจของเราได้  จริงหรือไม่ครับท่านนายก “ทักษิณ”   เอ้ย..... ท่านนายก “เศรษฐา”....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...