วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

วิถึและอุดมการณ์โอลิมปิก ..... กับชีวิตประจำวัน

 



               ใครๆในที่นี้หมายถึงบุคคลทั่วไป  และแม้แต่คนในแวดวงกีฬาก็นึกว่าโอลิมปิกคือการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเท่านั้น  แต่จริงๆแล้วโอลิมปิกมีทั้งปรัชญา  แนวคิด  และวิถีของโอลิมปิกที่สอดแทรกอยู่ในทุกกิจกรรม   ทั้งนี้รวมทั้งกิจกรรมกีฬา กิจกรรมเพื่อการศึกษา  กิจกรรทางเศรษฐกิจ และสังคม   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปลูกฝังค่านิยมโอลิมปิกสำหรับเยาวขน

               เพราะเราสามารถนำค่านิยมโอลิมปิกไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ในทุกๆมิติ   ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน  การสังคม  การหาเลี้ยงชีพ  การทำธุรกิจ    โอลิมปิกไม่ใช่แค่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเท่านั้น  แต่หมายถึงวิถีชีวิต  การดำรงตน  การเมือง  การสังคม และการใช้อุดมการณ์โอลิมปิกในชีวิตประจำวัน    เพราะจุดเริ่มต้นของกีฬาโอลิมปิกในสมัยโบราณที่เกิดขึ้นในปี 776 ก่อนคริสตกาลนับถึงปัจจุบันก็  2,800 ปี  การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยโบราณนั้น แต่เดิมเป็นเทศกาลหรือการเฉลิมฉลองและบูชาเทพเจ้าซุส  และเป็นกุศโลบายในการหยุดพักสงครามในยุคสมัยนั้น  แต่ก็ได้ยุติการจัดการแช่งขันลงในปี  คศ. 393  

               ในภายหลังจึงได้เริ่มบทใหม่ของโอลิมปิกโดยการนำของ  บารอน ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ชาวฝรั่งเศส จนมีการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกในปี คศ 1896 และจัดการแข่งขันเรื่อยมาจนปัจจุบันเป็นครั้งที่  33  ในปี  2024 นี้ที่ปารีส

               ส่วนอุดมการณ์โอลิมปิกซึ่งมีองค์ประกอบอยู่  3 ประการ คือ  ความยอดเยี่ยม (Excellence) มิตรภาพ (Friendship) และการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน (Respect) นั้นนับได้ว่านอกจากนักฬาและผู้เกี่ยวข้องแล้ว  ยังรวมถึงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก  เยาวชน ผู้ใหญ่ ผู้สูงวัย  ซึ่งก็คือทุกคนนั้นเอง   สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันที่เรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตก็ได้    โดยสามารถขยายความได้ดังต่อไปนี้  

               1.Excellence  ความเป็นเลิศหมายถึงการเป็นหรือมุ่งมั่นที่จะเป็นที่หนึ่ง ไม่เพียงแค่ในสนามกีฬาเท่านั้น แต่ยังในชีวิตประจำวันด้วย การบรรลุความเป็นเลิศไม่ได้หมายความว่าคุณต้องชนะตลอดเวลา แต่มันคือการเข้าร่วมและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเอง นั่นคือความพยายามที่คุณใส่เพื่อให้ดีกว่าเมื่อก่อนหน้านี้

2.Friendship มิตรภาพหมายถึงการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นทีม การแบ่งปันความสุขและการสร้างแรงบันดาลใจในเชิงบวกผ่านกีฬา เพราะกีฬาคือวิธีหนึ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ที่จะยอมรับคนที่แตกต่างกันจากทั่วทุกมุมโลก ที่มาจากประเทศ วัฒนธรรม สถานะทางสังคม และศาสนา  ความเชื่อ   ที่แตกต่างกัน แต่ถ้าคุณแบ่งปันค่านิยมเดียวกัน คุณก็จะเข้าใจกันและกันแม้จะมีความแตกต่างกันก็ตาม

3. Respect   การให้ความเคารพ   การให้เกียรติ   หมายถึงการเคารพในเกมและกฎของเกม การเล่นอย่างยุติธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความสำเร็จของคุณจะมีค่าเพียงหากคุณทำมันโดยการปฏิบัติตามกฎและหลักจริยธรรม ความเคารพยังหมายถึงการเคารพตัวเอง เพื่อนร่วมทีม คู่แข่ง และผู้เข้าร่วมกีฬา   ตลดจนทุกคนและมวลมนุษย์ชาติ  

นอกจากนี้แล้วโอลิมปิกยังส่งเสริมความเสมอภาคและภารดรภาพไม่ว่าจะในเรื่อง  เพศ  เชื้อชาติ  ศาสนา ความเชื่อ  และความแตกต่างในทุกมิติ  โดยจะสังเกตุเห็นได้จากการจัดการแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024  ในครั้งนี้ที่ผมขอรวบรวมเป็นข้อสังเกตุ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีเปิดที่จัดอย่างแปลก แตกต่าง และสร้างสรรค์เป็นอย่างยิ่ง

1.จุดคบเพลิงสองคนเป็นครั้งแรก  เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ   และจำนวนนักกีฬาที่ถูกจำกัดว่าในทุกครั้งจะต้องไม่เกิน   10,500   คน  ครั้งนี้จะมีนักกีฬาชายและหญิง  ตลอดจนเหรียญรางวัลให้ชิงชัยกัน  ระหว่างกีฬาประเภทชายและหญิงมีสัดส่วนเท่ากันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การจัดการแข่งขัน  และคงจะเป็นแนวปฏิบัติในครั้งต่อๆไปที่  ลอสแองเจลิส  และ บริสเบน

2.ในพิธีเปิดครั้งนี้มีคนพิการที่เห็นได้ชัดคือคนขาขาดสองคนได้ร่วมวิ่งด้วย  และอนุมานว่าอีกหลายคนที่พิธีกรไม่ได้ประกาศชื่อ / ตำแหน่ง  และวิ่งร่วมกันกับผู้พิการขาขาดทั้งสองนั้น ก็น่าจะเป็นคนพิการ  เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมกันอย่างมีรูปธรรมที่ชัดเจน

3.คุณตา ชาลี กองเต้  เป็นนักกีฬาจักรยานที่อายุ ครบ  100 ปี แม้ต้องนั่งรถเข็นก็สามารถมีส่วนร่วมในการวิ่งคบเพลิงในช่วงสุดท้ายได้  เป็นการให้เกียรตินักกีฬาอาวุโสเพื่อตอกย้ำอุดมการณ์โอลิมปิก




4.มีการมอบรางวัล  OLYMPIC LAUREATE ให้ข้าหลวงใหญ่ UNHCR  Fillipo Grandi. ที่ส่งเสริมอุดมการ์ณโอลิมปิค  โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ผุ้ลี้ภัยจากสงครามและการเมืองได้มีโอกาสในการเล่นกีฬา  และ แข่งขันโอลิมปิกซึ่งมีทีมผู้ลี้ภัยเข้าร่วมกากรแข่งขันด้วย   (ไม่แน่ใจว่าเป็นครั้งแรกหรือไม่ที่มีพิธีมอบรางวัลนี้ในพิธีเปิด   แต่ข้าหลวง เป็นคนที่ 3 ที่ได้รับรางวัลนี้ )

5.ในพิธีเปิดครั้งนี้ประกอบไปได้วยทุกชาติที่เป็นสมาชิกโอลิมปิกคือ  206 ชาติ  ซึ่งผมไม่แน่ใจว่านักกีฬาอย่าง กัมพูชา  บรูไน  หรือติมอร์เลสเตส  ที่อยู่ร่วมในพิธีเปิดนั้นจะได้แข่งขันจริงๆหรือไม่   หรือแค่เชิญมาร่วมในฐานะสมาชิกเท่านั้น  เพราะทั้งสามชาตินั้นส่งนักกรีฑาและว่ายน้ำซึ่งแม้แต่ในซีเกมส์ก็รู้สึกว่ายังไม่ได้เหรียญทอง  จะได้โควต้าปกติไปแข่งได้อย่างไร  ถ้าได้แข่งจริงก็จะเป็นลักษณะการเชิญเป็นพิเศษมากกว่า  

6.ผมไม่แน่ใจว่าในทุกชนิดกีฬาหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ  วอลเลย์บอลกับแบดมินตันในการจัดสรรคโควต้านั้นระบุไว้ในตอนท้ายว่าหากทวีปใดยังไม่มีนักกีฬามีคุณสมบัติครบถ้วนให้ทวีปนั้นที่อันดับดีที่สุดสามารถเข้าร่วมการแข่งขันเป็นลำดับสุดท้ายในกีฬานั้นๆ   ยิ่งไปกว่านั้นแบดมินตันในแต่ละประเภทยังระบุว่าเมื่อเรียงลำดับในการคัดเลือกแล้วแต่ละชาติจะส่งได้ประเภทละไม่เกินสองคนเท่านั้น   เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักกีฬาชาติอื่นๆได้มีโอกาสเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ทั้งหลายนี้ทำให้อุดมการณ์โอลิมปิกได้เติมเต็มเพื่อความสมบูรณ์ของกีฬาของมวลมนุษย์ชาติในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์   และคงต้องพัฒนาอุดมการณ์นี้ให้เข้มขึ้นและทั่วถึงไปยังทุกประเทศ  ทุกเกมส์กีฬา และทุกวิถีชีวิตนั่นเอง….



วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เชื่อมจิต พิชิตยอดขา

 



8 กรกฏาคม 2567

            อันนี้ไม่เกี่ยวกับ “ลัทธิเชื่อมจิต”  นะครับ  ที่นับได้ว่าเป็นหมากาพย์ของปี 2567  เรยที่เดียว  “มูเก็ตติ้ง”  สำหรับลัทธินี้ถือว่าสุดยอดกระบี่มือหนึ่งของทศวรรษตเรยทีเดี่ยว    ไม่รู้ว่าคนที่หลงเชื่อที่มีทั้งคนที่มีการศึกษาสูงๆ   คนที่ประกอบอาชีพที่ต้องใช้ทักษะความสามารถสูงๆ  ก็ยังไปหลงเชื่อเป็นสาวก  ซึ่งผมได้เคยเข้าไปนั่งดูไลฟ์อยู่ครั้งหนึ่ง 20 นาทีผ่านไปเจ้าลัทธิที่อายุ 8 ขวบพูดไม่กี่คำเอง   แต่สาวกและพ่อแม่ทั้งหลายก็เฮ......ตามๆกันไป  เรียกได้ว่าเป็นอุปทานหมู่ 

            ที่สำคัญคือสามารถ “เชื่อมจิต”  ที่ในที่นี้ผมคงแค่หมายถึง  สามารถหยั่งรู้ความต้องการของลูกค้า    เพราะเค้า

**  รู้จัก รู้ใจ  รู้ว่าห่วงใย  ทำอะไรเป็นพิเศษ    **

ที่เป็นหลักในการทำ บริหารความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ CRM นั่นเอง    โดยที่องค์กรธุรกิจ  หรือแม้แต่หน่วยงานราชการ หรือ NGO หรือ องค์กรกุศล  ลัทธิต่างๆก็ต้องเข้าไปนั่งในจิตใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและดำเนินกุศโลบายตามข้อความข้างต้น  โดยจะขอยกตัวอย่างดังนี้

ร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งเป็นคาเฟ่  ในเมลเบิร์น  ออสเตรเลีย   ได้คิดค่าอุ่นอาหารจากลูกค้า  จำนวน 1 เหรียญ  จากราคามัฟฟิน 7 เหรียญ และ กาแฟอีก 4.5 เหรียญ  เป็นระบบที่  “ไล่ลูกค้า” ไม่ได้เชื่อมจิตกับลูกค้า  ทำไมไม่ตั้งราคาเป็น 8 เหรียญ และ ถ้าไม่ต้องอุ่นลดเหลือ  6 เหรียญ    แต่ถ้าคิดว่าเป็นบริการที่สามารถให้กับลูกค้าได้อย่างไปคิดเงินดีกว่ามั้ยอ่า  ต้นทุนก็ไม่ได้เพิ่มเสียเท่าใด   มีสมองแต่ไม่ได้คิด  “เชื่อมจิต” กับลูกค้านั้นเอง

หรืออีกกรณีหนึ่ง  สน.ทองหล่อ   ที่พี่หนุ่มกรรชัยจะขอเข้าห้องน้ำ (แต่จริงๆก็คงจะไป อะไรซักอย่างกับคู่กรณี / ที่งคงไม่บานปลาย)   แต่ตำรวจ “ไม่ได้เชื่อมจิต”  กับพี่หนุ่ม ถ้าในกรณีนี้ก็แค่ ให้คู่กรณีอยู่ในห้อง และมี ตำรวจพาไปห้องน้ำ   เรื่องก็คงจะจบลงสวยกว่านี้ไม่ต้องหอบกระเช้าไปขอโทษพี่หนุ่มกรรชัย   แต่ดันบอกแค่ว่า “ผมมีมีอำนาจ”  แง้ว  ก็ยาวไปซิครับสารวัตร 

ซึ่งผู้ประกอบการจะต้อง   “เชื่อมจิต”  กับผู้บริโภคในเรื่องใดๆบ้าง  ก็เลยขอสรุปเพื่อนำไปพัฒนาแนวทางการดำเนินกิจการ  ดังนี้

** สินค้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่คาดหวังได้

**สินค้าบกพร่อง ชำรุด  มีปัญหาการใช้งาน

**เส้นทางการใช้บริการของลูกค้า  ยุ่งยาก สับสน  ตัวอย่าง สำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่ง   กรอกที่อยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก  ถึง 3 รอบ   / ต้องการใบกำกับภาษี (ถ้าไม่ต้องก็ไม่ต้องกรอก แต่นี่ให้ ซ้ำอีกครั้ง ....(เหมือนที่จัดส่ง ได้มั้ย) หรือ ไม่ต้องการ ก็จะได้ไม่ต้องกรอก /  ที่อยู่จัดส่ง  ให้กรอกซ้ำอีก น่าจะช่องให้ระบุ  เหมือนกับที่อยู่ข้างต้น   อิอิ.....  ใหญ่ก็พลาดได้นะครับ

**การบริการไม่เป็นไปตามความคาดหวัง... 

**ประสบการณ์ในการใช้สินค้า ใช้ยาก  ไม่มีคุ่มือ  คอลเซนเตอร์โทรไปไม่ติด ติดไม่รับ รับแล้วตอบไม่ได้  ฯลฯ

**ขาดการสื่อสารที่ดี   ต้องเข้าใจประเด็นที่จะสื่อสารและปัญหาที่เกิดขึ้น

**ลูกค้าขาดการมีส่วนร่วม  ก็เลยยิ่งทำให้ขาดการ “เชื่อมจิต” ไปเรยยย

            น้องไนซ์ น่าจะเปิดคอร์ส  “เชื่อมจิตสำหรับเอสเอ็มอี “   ก็น่าจะดีนะ   5555.   พูดไม่ออก บอกไม่ถูก.... ขอไปทำกล้วยเชื่อมแทนนะครับ ..

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...