วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

SATI…มีจะไม่หลง!


 

SATI…มีจะไม่หลง!

19 ตุลาคม 2567

            ทศวรรตนี้คงไม่มีคดีทางเศรษฐกิจอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า “ The ICON  ไปอย่างแน่นอน  เพราะมีผู้เสียหายเป็นหลายแสน ที่แน่ๆก็สามแสนคนขึ้นไป  และขณะนี้มีผู้มาแจ้งความแล้ว ถึงสองพันกว่าคน  และบรรดาบอสทั้ง 18  ก็ไม่ได้รับการอนุญาติให้ประกันตัวต้องอยู่ในเรือนจำจนกว่าศาลจะพิจารณาเป็นอย่างอื่น 

            คำถามที่ต้องตั้งเป็นปุจฉาคือ......ทำไมถึงมีคนหลงเชื่อนำเงินมาลงทุน  ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่คอยจะมีกินมีใช้   ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา  หรือบางคนเป็นเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต   ....  แล้วเราจะนำบทเรียนในกรณีนี้มาปรับใช้  หรือส่งต่อบทเรียนนี้ให้กับรุ่นต่อๆไปได้อย่างไร

                        กรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรกที่เกิดขึ้นเท่าที่ผมจำความได้ก็คือ กรณี  “แม่ชม้อย”  ที่เกิดเหตุช่วงปี 2520-2528  อันนี้หลอกลวงซึ่งๆหน้าที่เราเรียกว่าแชร์ลูกโซ่คือเอาเงินของคนที่มาเป็นสมาชิกทีหลังๆมาจ่ายคนแรกๆที่ลงทุนหมุนเวียนไป  แต่ผู้เสียหายก็คงเรียกได้ว่าเป็นผู้มีสตางค์เอามาเสมือนให้กู้ไปลงทุนโดยได้ผลตอบแทนสูงมากกกกก     จนมีกฎหมายป้องกันในเรื่องนี้อย่างชัดเจนคือพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนพ.ศ. 2527  

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คืออาชญากรรมก็มีการพัฒนาตามกฎหมายโดยหาช่องว่าง   เพื่อนำมาก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจจนมาเป็น The Icon  ที่เป็นลูกผสมระหว่างการขายตรงแบบ MLM  กับ  หลานๆแชร์ลูกโซ่  บวกด้วยการตลาดทางตรงและสื่ออนไลน์   เลยทำให้มีผู้เสียหายลากตั้งแต่ข้าราชการ  ดารา  นักร้อง  จนไปถึงแม่ค้า  และ ชาวบ้านร้านตลาด

แล้ว...... เราจะมีวิธีสังเกตุ  ป้องกันตนเองอย่างไร   ไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจนี้ ..... คำตอบ  คือ    SATI…..

S…..Sence   แปลตรงๆว่าสามัญสำนึก แต่ถ้าง่ายๆก็คือ  ให้  “เอ๊ะ”  ไว้ก่อน  หรือการตั้งคำถามว่า  “จริงหรือ”    “เชื่อได้หรือไม่”  “เราจะทำได้หรือไม่”  ฯลฯ  ตัวอย่างเช่น  กรณีทองแม่ตั้กกับป๋าเบียร์   มันจะเป็นได้อย่างไรซื้อทอง 1 สลึงได้ของแถม 2 สลึง  ถ้าเราเป็นเจ้าของเราก็เอาทองสามสลึงไปขายไม่ต้องมาทำมาหากินดีกว่าหรือไม่    “คำถามคือเค้าจะทำไปทำไม”  หรือ คนแรกๆอาจจะได้ทองจริงแต่การบอกปากต่อปาก  หรือกระแสโซเชีลแล้วคนหลังๆ จะได้ทองจริงหรือไม่   แค่ซื้อทองออนไลน์แบบราคาปกติผมยังไม่กล้าซื้อเรย  หรือหนักไปกว่านั้นทองต้องซื้อที่เยาวราชเพราะเชื่อว่าได้ทองเต็มขายคืนได้ราคาเต็ม      

ในกรณีนี้หากหลงเข้าไปสู่วังวนตอนไปเรียนการตลาดออนไลน์ที่ 89-99 บาทแล้ว  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เรียกได้ว่าสุโค่ย    เมื่อเข้าไปแล้ว หากเชื่อได้ว่าสินค้าดี   ราคาดี   ลงทุนซัก 2,500  บาทก่อนขายหมด สองสามครั้ง ค่อยลงทุนเพิ่มเป็น 25,000  ค่อยๆเป็นค่อยๆไป   ขายหมด อีกสามสี่ครั้งคราวนี้มั่นใจได้ว่าเราขายได้ขายดี   ค่อยขยายเป็น 2.5 แสนดีมั้ย     

A.... Achievement   ความสำเร็จ   ต้องตั้งคำถามว่าเราสามารถมีความสำเร็จเหมือนกับดารา  บอสทั้งหลาย  หรือแม่ทีมได้หรือไม่   เรามีคุณสมบัติหรือองค์ความรู้  มีเครื่อข่าย  มีคนรู้จัก  มีคนเชื่อถือ  ที่จะมาเป็นลูกค้าเราหรือไม่   ไม่ใช่แค่ เห็นความสำเร็จ  ของดารา  บอส   แม่ทีม  เห็นเรื่องราวผ่านสื่อ  การเล่าเรื่องซึ่งได้มีการปรุงแต่งมาอย่างมืออาชีพ   จนสามารถเรียกได้ว่า “เดอะไอคอนการละคร”    เสมือนการล้างสมอง    ดังนั้นจึงต้องมีสติตั้งคำถามต่างๆทั้งสองข้อข้างต้นซึ่งยังไม่เพียงพอต้องเสริมด้วย

T .....Technical   เรามีองค์ความรู้ที่จะอธิบาย   ให้ลูกค้าจนสิ้นสงสัย   มีเทคนิคการขายหรือไม่   เพราะการขายนั้นใครๆก็เป็นนักขายได้แต่จะเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จนั้นมีองค์ประกอบอีกมากมาย   นอกเหนือจากควาสามารถความรู้ในตัวสินค้า  ในลูกค้า  ในองค์กร และสินค้าคู่แข่ง  แล้วที่สำคัญเป็นลำดับสุดท้ายคือ    ความสามารถในการปิดการขายได้หรือไม่...

I…Integrated   เราสามารถประมวลข้อมูลทั้งหลายเพื่อการบูรณาการได้หรือไม่   ก็คือด้วยข้อมูลทั้งหลายที่จะมาทำให้เราตัดสินใจ     คิด   วิเคราะห์   แยกแยะ   นั่นเอง   เหมือนการเห็นบนเวทีประกาศความสำเร็จแล้ว เรามานั่งคิดวิเคราะห์  ว่าเราจะสามารถทำได้หรือไม่ ด้วย ชุดข้อมูลที่เรามีรวมทั้งการแสวงหาข้อมูลอื่นๆ   ที่ปัจจุบันนั้นหาง่ายมากจากโลกออนไลน์    หากได้ประมวลอย่างถ่องแท้และรอบด้านแล้วเชื่อได้ว่าเราจะสามารถรอดพ้นจากการเป็นเหยี่อยได้อย่างแน่นอน

จากวิกฤต....ของสถานการณ์โควิด    มาเป็น   ...โอกาส ......ของเดอะไอคอน......

บัดนี้ได้กลับกลายมาเป็......วิบัติ ......ของบรรดาบอสทั้งหลาย

จากขยันผิดที่  10 ปีก็ไม่รวย

รวยผิดที่อีก 20 ปีที่ต้องชดใช้กรรม

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2567

“เด้ง ดูด ดีด ดุ๊กดิ๊ก”

 

“เด้ง  ดูด  ดีด ดุ๊กดิ๊ก”  

6 ตุลาคม 2567



 

            ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครดังและเป็นไวรัลเท่ากับ “น้องหมูเด้ง”  เล่นเอาหมีเนยกระแสเงียบไปเรย  เพราะว่าระดับ “หมูเด้ง” นี้ ไม่ได้ดังแค่เอเชีย   ดังไปทั่วโลก  สำนักข่าวทั้งหลายไม่ว่าจะ CNN  BBC  ALJAZEERA   สโมสรกีฬาดังๆทั้งหลายไม่ว่าจะพรีเมียลีก   อเมริกันฟุตบอล  กล่าวขานกันทั่วโลก

  

  ซึ่งกระแสดังกล่าวนี้ถ้ามองในแง่การตลาดแล้วเราจะเรียกมันว่า

“ คาวาอี๊ มาร็เก็ตติ้ง “  ซึ่งเป็นรากศัพท์มาจากภาษาญี่ปุ่น  หากแปลตรงตัวก็จะหมายความว่าน่ารัก คิกขุ ดูเป็นความหมายด้านบวก    เรื่องความน่ารักที่นำมาแปลงเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดนั้น   ไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างชัดเจน  แต่ก็น่าจะอนุมานว่ามาจากญี่ปุ่น    เพราะในสมัยก่อนนั้นจะมีสาวๆ หน้าร้านขนมหรือร้านเสื้อผ้าเป็นหน้าตาหน้ารัก   ที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า    “คาวาอี๊” มีความหมายตรงตัวว่าน่ารัก น่าฟัด น่ากรี๊ดกราด จนพัฒนามาเป็น  พริตตี้  ที่หลายๆบริษัทนำมาใช้ในการเรียกความสนใจ   โดยเฉพาะเวลาจัดกิจกรรมการตลาด  เช่น  มอเตอร์โชว์   การแข่งรถ  การเปิดตัวสินค้า  และกิจกรรมการตลาดอื่นๆ     

วัฒนธรรมนี้ก็เติบโตและพัฒนาการมาเรื่อยๆ  รวมทั้งการมีคาแรคเตอร์  การ์ตูน  สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึง  “เอกลักษณ์”  ทำให้เกิดการจดจำสินค้าได้อย่างแม่นยำ  แม้จะเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของสินค้านั้นหรือไม่ก็ตาม   เพราะความน่ารักใครๆก็ชอบไม่ว่าเพศ  หรือวัยใดก็ตาม   จะมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคเพราะนอกจากจะดึงดูดความสนใจได้ยอดเยี่ยมแล้วยังส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ “คิกขุ อาโนเนะ” ไปด้วย

หากถามว่าใครจำหมีตัวดำ  แก้มแดงกลมๆทั้งสองด้าน   ผมเชื่อว่าหลายคนคงจำได้ว่าเป็นหมีน้อยน่ารัก   “ หมีคุมะมง”   ซึ่งเป็นหมีประจำเมืองของญี่ปุ่น  “เมืองคุมาโมโตะ”   ที่ผู้ออกแบบได้น่ารักสมควรแก่การจดจำ    จนใครๆก็นึกถึงหมีคุมะมงเมื่อไปเยือนเมืองคุมาโมโตะ นั่นเอง


 

จนล่าสุดมีสวนซึ่งประดับไปด้วยหมีคุมะมงในหลายๆอริยาบท   กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองคุมาโมโตะที่เรียกได้ว่า   นักท่องเที่ยวทั้งหลายต้องไปเยือนนั่นเอง

แล้ว  “หมุเด้ง “  จะต่อยอดกระแสความโด่งดังในครั้งนี้ได้อย่างไร   เรียกได้ว่าอยากทำอะไรก็ต้องรีบทำ  เพราะฮิปโปแคระมันโตเร็วมาก  3-5 ปีก็อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้แล้ว  ดังนั้นต้องรีบคิด  รีบทำ   เช่นในสวนสัตว์เปิดเขาเขียวจะมี  มุมสวน “หมูเด้ง”  โดยเอาแนวคิดของสวนคุมะมงมาปรับใช้ก็ไม่น่าผิดกติกาแต่อย่างใด

แล้วให้กลายเป็น  “ไอคอน” ของชลบุรีได้หรือไม่  ???    เพราะจริงๆแล้วฮิปโปแคระ  ก็มีหน้าตาคล้ายๆกันอยู่แล้ว  เรียกได้ว่าแทบจะแยกไม่ออกถ้าอายุใกล้ๆกัน  แต่ที่”หมูเด้ง” โด่งดังก็สรุปได้ว่า  เพราะ  “จริต”  มันน่ารัก   “น่ารักเกินปุยมุ้ย”  เลยทำให้น้องโด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง

อ้อ....ลืมบอกไปว่าตอนเกิดใหม่ๆทางสวนสัตว์มีการประกวดตั้งชื่อ  โดยมี  3  ชื่อให้เลือก คือ  หมูเด้ง หมูแดง และ หมูสับ    แล้วชื่อ “หมูเด้ง”  ก็ชนะเลิศจากผู้เข้าร่วมเลือกทั้งหมดกว่า 20,000 คน   ชื่อนี้ตรงกับ “จริต”  ของน้องเค้าซึ่งเด้งดึ๋ง   จริต ที่ จิก กัด  กินนม โดยรวมน่าจะเรียกได้ว่า   “เด้ง  ดูด  ดีด ดุ๊กดิ๊ก”   จนทำให้ชื่อและจริตของน้องเป็นที่จดจำได้ชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว

ที่สำคัญโลของโซเชียลมีเดียเป็นตัวเปิดประเด็น   ในชื่อ “ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2.4 ล้านคน จนสื่อต่างประเทศเข้าใจว่าจากญี่ปุ่น   เป็นประเทศแรกที่ให้ความสนใจมาทำข่าวแล้วกลายเป็นกระแสในที่สุด    

“รัก นะตะเอง  ตะมุตะมิมาก  หมูเด้ง”

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...