29 ธันวาคม 2567
อีกไม่กี่วันพ.ศ.2567 ก็จะผ่านพ้นไปก้าวเข้าสู่ พ.ศ.2568 ซี่งต้องบันทึกไว้ว่าสองสามปีที่ผ่านมานั้น ภาวะเศรษฐกิจนั้นมีปัญหาจริงๆทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และ ระดับประเทศ ซึ่งภาวะนี่ส่งผลถึงระดับรากหญ้าที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่างๆแต่ก็ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน เพราะมีปัจจัยภายนอกมากระทบ ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม การกีดกันทางการค้าที่ทำให้จีนนั้นมีสินค้าล้นตลาด เพราะส่งออกไปสหรัฐอเมริกาได้น้อยลง ก็เลยดัมพ์ราคาสินค้ามายังประเทศอื่นๆซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย เอสเอ็มอีไทยกระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำอีกที่เหลืออยู่นี่เรียกได้ว่ากระดูกเหล็กชัดๆ
แต่ก็มีสินค้าตัวหนึ่งของประเทศไทยที่สามารถยืนหยัดและพัฒนาจนเรียกได้ว่าทั้งจำนวนคน และ รายได้เกือบเทียบเท่าก่อนโควิดในปี 2019 ซึ่งครบ 5 ปีเต็ม ตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยดูได้จากอัตราการจองห้องพัก จำนวนเที่ยวบิน และ อัตราคาแรงงานขั้นต่ำที่ในจังหวัดท่องเที่ยวปรับสูงขึ้นถึง 400 บาท/ วัน ไม่ว่าจะภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และ เกาะสมุย
ในหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ยุโปรป แม้แต่ตะวันออกกลาง ก็ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเพราะการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ควิกวิน คือสามารถได้รับเงินตรงๆซึ่งส่งถึงทุกระดับได้อย่างรวดเร็วและการหาเงินจากผู้ยังมีเงินในกระเป๋านั้นย่อมง่ายกว่าการที่จะต้องผลิต หาช่องทางการจัดจำหน่าย บริหารสินค้าคงคลัง ฯลฯ กว่าจะได้ผลกำไรต้องใช้เวลานาน และหรืออาจจะขาดทุนก็ได้
ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปพักผ่อนที่ “มัลดีฟ” ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับเลือกให้เป็น เวิล์ดเบสเดสติเนชั่น 5 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2020-2024 และอาจจะคาดได้ว่าน่าจะได้สำหรับปี 2025 อีกด้วย
ประเทศมัลดีฟมีพื้นที่ดินรวมเพียง 300 ตารางกิโลเมตรมีจุดสูงสุดเพียง 2.3 เมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 26 กลุ่ม (atoll) รวม 1,190 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 เกาะ และได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว 74 เกาะ ซึ่งรัฐบาลเปิดให้เอกชนมาเช่าเกาะเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งทางเครือเซนทารา ได้ไปลงทุนเปิดปริการในปี 2567 เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ โดยจะเป็นโรงแรมแห่งที่สามในมัลดีฟ และปีหน้าจะเปิดอีก 1 โรงแรมคือโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรู เรียกได้ว่าระดับ 6 – 7 ดาว ทำให้จะมีโรงแรมถึง 4 แห่งในมัลดีฟส์ คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมถึง 539 ห้องพัก
แต่การไปมัลดีฟในครั้งนี้ของผมมีเรื่อง “บีบหัวใจ” ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นประสบการณ์ขำๆ หรือเสียวๆ ถึงสามประการคือ
*****บีบหัวใจ 1 ในหลายๆประเทศซึ่งอาจจะเกือบทุกประเทศแล้ว ที่ยอมรับเอกสารอีเลคโทรนิคที่เรามักจะเก็บไว้ในมือถือ ซึ่งก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรใช้มาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่แบตเตอรี่มือถือเหลือแค่ 10 เปอร์เซนต์ แถมพาวเวอร์แบงค์ที่เตรียมไปนั้นสายต่อมันมีปัญหาไม่สามารถชาร์จได้ทั้งๆที่แบตเต็ม 100 เปอร์เซนต์ ลุ้นแทบตายว่าหากแบตหมดก่อนที่จะผ่าน ตม. งานจะเข้าหรือไม่ รีบปิดหน้าจอ เปิดโหมดประหยัดพลังงาน และสวดมนต์ว่าขอให้รอดๆๆ จึงขอแนะนำให้พิมพ์เอกสารเก็บไว้ด้วยไม่ว่าจะเป็น การจองเครื่องบิน การจองโรงแรม และ เอกสารการเข้าเมือง ตม. หรือ คิวอาร์โคด
*****บีบหัวใจ 2 การไปครั้งนี้ผมซื้อแบบแพคเกจรวมอาหารและทริป 1 วันเต็ม ซึ่งช่วงเย็นก็ลงไปทานอาหาร แต่ ............ มีโต๊ะพิเศษจัดแบบดินเนอร์คู่รักหวานแหวว โดยโต๊ะทานอาหารจะอยู่บนชายหาด ที่วาดหรือลากเส้นเป็นหัวใจ พร้อมดอกกุหลาแบบว่ากินแต่เมนเมนูของคาวพอ ของหวานไม่ต้องจัดเรยจร้า แน่นอนว่าโต๊ะนี้ต้องมีค่าบริการเป็นพิเศษ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบโลว์คอสมากๆๆเรย
***บีบหัวใจ 3 กิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจจะลืมได้เรย เพราะปกติผมเองนั้นแม้ว่าจะว่ายน้ำได้ แถมเคยเป็นไลฟ์การด์รุ่นแรกของสวนสยามเมื่อปี 2522 แต่ไปทะเลทีรัยก็มักจะไม่ได้ค่อยลงทะเลเสียเท่าใด แต่การมามัลดีฟนี้ กิจกรรมนี้เป็นภาคบังคับว่าหากไม่ได้ทำกิจกรรมนี้ก็เหมือนไม่ถึงมัลดีฟ นั้นคือการถ่ายรูปกับกระเบน และ ถ่ายรูปกับฉลามซึ่งเป็นอะไรที่นอกจากว่าน่าจมีไม่กีที่ในโลกที่เราสามารถทำอย่างนี้ได้ ไม่รอช้าขอเข้าถ่ายเป็นคนที่ 2 ในขณะที่ลอยตัวอยู่เพื่อให้โดรนถ่ายภาพเราในมุมสูงนั้น (จ่ายเงินเพิ่ม 15 USD) น้องหลามก็ว่ายมาชนหลังเรา 5-6 รอบ ก็เลยเริ่มสวดอิติปิโสวนไป ภาวนาว่าเราคงไม่เป็นคนแรกที่โดนฉลามมัลดีฟงาบไปกินนะ แต่ถ้าโดนก็จะได้ลง CNN แน่นอนเรย 5555 แต่คงเพราะฉลามดมๆแล้วรู้สึกว่าน่าจะเหนียวไม่อร่อยเลยรอดมาหวุดหวิด ...
สุดท้ายขอเล่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของมัลดิฟไว้เพื่อทราบว่า ระบบการบริหารจัดการทำได้ดีในระดับหนึ่ง แม้สนามบินจะเล็ก มีแค่ 6 ประตู แต่คือประตูเดียวคือจะมีห้องโถงรวมทุกไฟล์เปิดออกเดินขึ้นเครื่องได้เลย แต่เขาก็จัดให้แต่ละไฟล์มีเวลาเช็คผ่านตม.เพื่อไม่ให้แออัดกันเกินไป แม้จะมีไฟลท์บินไม่มากประมาณ 2500-3000 ไฟล์ต่อปี แต่เนื่องจากสนามบินมีขนาดเล็กก็เลยต้องบริหารจัดการ จำนวนนักท่องเที่ยวไ ม่มากนัก 1.7-2.0 ล้านคน เท่านั้น ทำรายได้ 1.1 พันล้านบาทเท่านั้น แต่เนื่องจากมัลดีฟมีประชากรแค่ 530,000 คน แต่ว่าเศรษฐกิจเติบโตโดยมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลักและสำคัญที่สุดในมัลดีฟส์ คิดเป็น 28% ของ GDP ทำให้ GDP ต่อหัว ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รายได้ภาษีของรัฐบาลมากกว่า 90% มาจากภาษีนำเข้าและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และเชื่อได้ว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ