วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

มัลดีฟ.... บีบหัวใจ ??

 


29 ธันวาคม 2567


               อีกไม่กี่วันพ.ศ.2567  ก็จะผ่านพ้นไปก้าวเข้าสู่ พ.ศ.2568   ซี่งต้องบันทึกไว้ว่าสองสามปีที่ผ่านมานั้น  ภาวะเศรษฐกิจนั้นมีปัญหาจริงๆทั้งในระดับโลก  ระดับภูมิภาค  และ ระดับประเทศ   ซึ่งภาวะนี่ส่งผลถึงระดับรากหญ้าที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ   แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่างๆแต่ก็ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน  เพราะมีปัจจัยภายนอกมากระทบ  ไม่ว่าจะเป็นภาวะสงคราม  การกีดกันทางการค้าที่ทำให้จีนนั้นมีสินค้าล้นตลาด   เพราะส่งออกไปสหรัฐอเมริกาได้น้อยลง   ก็เลยดัมพ์ราคาสินค้ามายังประเทศอื่นๆซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย  เอสเอ็มอีไทยกระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำอีกที่เหลืออยู่นี่เรียกได้ว่ากระดูกเหล็กชัดๆ

               แต่ก็มีสินค้าตัวหนึ่งของประเทศไทยที่สามารถยืนหยัดและพัฒนาจนเรียกได้ว่าทั้งจำนวนคน และ รายได้เกือบเทียบเท่าก่อนโควิดในปี 2019  ซึ่งครบ 5 ปีเต็ม  ตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ  โดยดูได้จากอัตราการจองห้องพัก  จำนวนเที่ยวบิน  และ อัตราคาแรงงานขั้นต่ำที่ในจังหวัดท่องเที่ยวปรับสูงขึ้นถึง  400 บาท/ วัน   ไม่ว่าจะภูเก็ต  ชลบุรี  ระยอง ฉะเชิงเทรา  และ เกาะสมุย 

               ในหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ยุโปรป  แม้แต่ตะวันออกกลาง  ก็ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเพราะการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ควิกวิน  คือสามารถได้รับเงินตรงๆซึ่งส่งถึงทุกระดับได้อย่างรวดเร็วและการหาเงินจากผู้ยังมีเงินในกระเป๋านั้นย่อมง่ายกว่าการที่จะต้องผลิต  หาช่องทางการจัดจำหน่าย  บริหารสินค้าคงคลัง  ฯลฯ  กว่าจะได้ผลกำไรต้องใช้เวลานาน  และหรืออาจจะขาดทุนก็ได้ 

               ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปพักผ่อนที่  “มัลดีฟ”  ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับเลือกให้เป็น เวิล์ดเบสเดสติเนชั่น  5 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี  2020-2024  และอาจจะคาดได้ว่าน่าจะได้สำหรับปี  2025 อีกด้วย



 

                       ประเทศมัลดีฟมีพื้นที่ดินรวมเพียง 300 ตารางกิโลเมตรมีจุดสูงสุดเพียง 2.3 เมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 26 กลุ่ม (atoll) รวม 1,190 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 เกาะ และได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว 74 เกาะ  ซึ่งรัฐบาลเปิดให้เอกชนมาเช่าเกาะเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว   ซึ่งทางเครือเซนทารา  ได้ไปลงทุนเปิดปริการในปี 2567  เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ โดยจะเป็นโรงแรมแห่งที่สามในมัลดีฟ  และปีหน้าจะเปิดอีก 1   โรงแรมคือโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรู  เรียกได้ว่าระดับ  6 – 7 ดาว   ทำให้จะมีโรงแรมถึง 4 แห่งในมัลดีฟส์ คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมถึง 539 ห้องพัก     

แต่การไปมัลดีฟในครั้งนี้ของผมมีเรื่อง “บีบหัวใจ”  ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นประสบการณ์ขำๆ  หรือเสียวๆ  ถึงสามประการคือ

*****บีบหัวใจ 1   ในหลายๆประเทศซึ่งอาจจะเกือบทุกประเทศแล้ว  ที่ยอมรับเอกสารอีเลคโทรนิคที่เรามักจะเก็บไว้ในมือถือ   ซึ่งก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรใช้มาแล้วหลายครั้ง   แต่ครั้งนี้พิเศษตรงที่แบตเตอรี่มือถือเหลือแค่ 10 เปอร์เซนต์  แถมพาวเวอร์แบงค์ที่เตรียมไปนั้นสายต่อมันมีปัญหาไม่สามารถชาร์จได้ทั้งๆที่แบตเต็ม 100  เปอร์เซนต์    ลุ้นแทบตายว่าหากแบตหมดก่อนที่จะผ่าน ตม. งานจะเข้าหรือไม่  รีบปิดหน้าจอ  เปิดโหมดประหยัดพลังงาน  และสวดมนต์ว่าขอให้รอดๆๆ    จึงขอแนะนำให้พิมพ์เอกสารเก็บไว้ด้วยไม่ว่าจะเป็น การจองเครื่องบิน  การจองโรงแรม  และ เอกสารการเข้าเมือง ตม.  หรือ คิวอาร์โคด   

 *****บีบหัวใจ 2  การไปครั้งนี้ผมซื้อแบบแพคเกจรวมอาหารและทริป 1 วันเต็ม  ซึ่งช่วงเย็นก็ลงไปทานอาหาร  แต่ ............ มีโต๊ะพิเศษจัดแบบดินเนอร์คู่รักหวานแหวว   โดยโต๊ะทานอาหารจะอยู่บนชายหาด ที่วาดหรือลากเส้นเป็นหัวใจ  พร้อมดอกกุหลาแบบว่ากินแต่เมนเมนูของคาวพอ  ของหวานไม่ต้องจัดเรยจร้า  แน่นอนว่าโต๊ะนี้ต้องมีค่าบริการเป็นพิเศษ   เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบโลว์คอสมากๆๆเรย


                ***บีบหัวใจ 3  กิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจจะลืมได้เรย   เพราะปกติผมเองนั้นแม้ว่าจะว่ายน้ำได้  แถมเคยเป็นไลฟ์การด์รุ่นแรกของสวนสยามเมื่อปี 2522  แต่ไปทะเลทีรัยก็มักจะไม่ได้ค่อยลงทะเลเสียเท่าใด  แต่การมามัลดีฟนี้   กิจกรรมนี้เป็นภาคบังคับว่าหากไม่ได้ทำกิจกรรมนี้ก็เหมือนไม่ถึงมัลดีฟ    นั้นคือการถ่ายรูปกับกระเบน  และ   ถ่ายรูปกับฉลามซึ่งเป็นอะไรที่นอกจากว่าน่าจมีไม่กีที่ในโลกที่เราสามารถทำอย่างนี้ได้   ไม่รอช้าขอเข้าถ่ายเป็นคนที่ 2   ในขณะที่ลอยตัวอยู่เพื่อให้โดรนถ่ายภาพเราในมุมสูงนั้น (จ่ายเงินเพิ่ม 15 USD)   น้องหลามก็ว่ายมาชนหลังเรา 5-6 รอบ  ก็เลยเริ่มสวดอิติปิโสวนไป     ภาวนาว่าเราคงไม่เป็นคนแรกที่โดนฉลามมัลดีฟงาบไปกินนะ  แต่ถ้าโดนก็จะได้ลง CNN  แน่นอนเรย   5555  แต่คงเพราะฉลามดมๆแล้วรู้สึกว่าน่าจะเหนียวไม่อร่อยเลยรอดมาหวุดหวิด ...

   สุดท้ายขอเล่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของมัลดิฟไว้เพื่อทราบว่า   ระบบการบริหารจัดการทำได้ดีในระดับหนึ่ง  แม้สนามบินจะเล็ก มีแค่ 6 ประตู แต่คือประตูเดียวคือจะมีห้องโถงรวมทุกไฟล์เปิดออกเดินขึ้นเครื่องได้เลย  แต่เขาก็จัดให้แต่ละไฟล์มีเวลาเช็คผ่านตม.เพื่อไม่ให้แออัดกันเกินไป          แม้จะมีไฟลท์บินไม่มากประมาณ  2500-3000 ไฟล์ต่อปี   แต่เนื่องจากสนามบินมีขนาดเล็กก็เลยต้องบริหารจัดการ     จำนวนนักท่องเที่ยวไ ม่มากนัก 1.7-2.0 ล้านคน เท่านั้น  ทำรายได้ 1.1 พันล้านบาทเท่านั้น แต่เนื่องจากมัลดีฟมีประชากรแค่  530,000 คน  แต่ว่าเศรษฐกิจเติบโตโดยมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลักและสำคัญที่สุดในมัลดีฟส์ คิดเป็น 28% ของ GDP   ทำให้ GDP  ต่อหัว ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   รายได้ภาษีของรัฐบาลมากกว่า 90% มาจากภาษีนำเข้าและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว   และเชื่อได้ว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...