สร้างสมดุลย์ กระตุ้นความร่วมมือ
26
พฤศจิกายน 2568
เมื่อเดือนที่แล้วได้รับโจทย์จากท่ายยุทธ ศิริบุญรักษา
ผู้พิพากษาอาวุโส
ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับ “การไกล่เกลี่ย” และ “การแสวงหาข้อเท็จจริง” หรือ “การโน้มน้าวจูงใจ” ก็เลยได้มีโอกาสคิดวิเคราะห์จากประสบการณ์ในอดีต และองค์ความรู้ที่มีจึงได้ข้อสรุปเป็นประเด็นต่างๆ ในอันที่จะโน้มน้าว จูงใจ
ให้บุคคลที่สามคล้อยตามหรือปฏิบัติตาม
โดยการขยายคำว่า BALANCE ซึ่งขยายความได้ดังนี้
B = Base คือข้อมูลพื้นฐาน ที่เราจะต้องแสวงหา และในโลกปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีตัวตนในโลกออนไลน์ ก็จะทำให้แสวงหาข้อมูลได้ง่ายและมากขึ้น
นอกจากนี้แล้วยังแสวงหาข้อเท็จจริงได้จากการสอบถาม การสืบประวัติ
จากครอบครัว จากชุมชน และ ข้อมูลที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมให้ ที่สำคัญคือความต้องการที่แท้จริงของคู่กรณี ซึ่งมีตัวอย่างหนึ่งที่พ่อตาฟ้องขอคืนทิ่ดินจากลูกเขย
(ลูกสาวเสียชีวิต) แต่ผมได้ค้นหาความจริงได้ว่า พ่อตากลัวลูกเขยเอาไปขายและใช้เงินหมดเลยสรุปจบได้ว่าโอนทิ่ดินให้กับหลานไปก็เลยจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
A = Action คือต้องดูปฏิริยาของบุคคลเหล่านั้นทั้งหมด รวมทั้งบุคคลที่ร่วมในกิจกรรมนั้น ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติการ เช่น ในการไกล่เกลี่ยซึ่งอาจจะนำญาติของแต่ละฝ่ายเข้ามาด้วยประสงค์ใดก็แล้วแต่ อันอาจจะทำให้การเจรจานั้นไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีลูกยุหรือศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ บางครั้งการแยกบุคคลที่สามออกไปก่อนการแสวงหาข้อเท็จจริง
และ เจรจาก็อาจจะทำให้การเจรจานั้นประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
L = Love
ความรักจะเยียวยาทุกสิ่ง
เพราะหากรักแล้วทุกอย่างได้หมดเพราะสดชื่นนั่นเอง หากค้นหาได้ว่ามีความรัก ภักดี
หรือนิยมชมชอบอะไร
ก็พยายามเอาเรื่องเหล่านั้นมาพูดคุยในระหว่างการสนทนา จะได้ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์อันอาจจะก่อให้เกิดการคล้อยตาม
หรือ ยอดมปฏิบัติตาม ในภาพยนต์เรื่องหนึ่งทางช่อง AXN ตำรวจพยายามถามผุ้ร้ายที่สมรู้ร่วมคิดในการวางระเบิดที่จะทำให้คนตายเป็นหลายร้อยคน ในเบื้องต้นพยายามข่มขู่ ฯลฯ ไม่เป็นผล
แต่ข้อมูลคือคนท้องถิ่นของฮาวาย (ซึ่งมีความรักในถิ่นฐานมาก) ก็เลยเปลี่ยนคำจูงใจใหม่ว่า “คุณไม่ต้องบอกข้อมูลที่วางระเบิดเพราะกลัวถูกโทษหนัก แต่ให้คุณทำเพื่อ ฮาวาย “
เท่านั้นแหละครับบอกที่วางระเบิดเรย
อาจจะเป็นเรื่องในภาพยนต์แต่สามารถนำมาปรับใช้ในกรณีนี้ได้เป็นอย่างดี หรืออย่างในกรณีพ่อตากับลูกเขยข้างต้นก็จบลงด้วยความรักที่มีต่อลูกและหลานเหมือนกันนั่นเอง
A = Asset
ในกรณีนี้นอกจากความหมายว่าคือทรัพยสินแล้ว ก็ยังตีความหมายได้ถึงมูลค่าของผลประโยชน์ที่เป็นกรณีที่ขัดแย้งกันด้วย ซึ่งมีทั้งผลประโยชน์ที่จับต้องได้ไม่ว่าจะเป็น
ที่ดิน บ้าน รถ ทรัพย์สินเงินทอง กับผลประโยชน์ทางจิตใจเช่นความสงบ ความสุข
ฯลฯ เป็นต้น ต้องคนหาและบริหารให้สมดุลย์กับคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วไม่มีอะไรที่ยุติธรรม 100%
แต่เป็นข้อตกลงที่ยอมรับได้กันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
N = New Attitude คือทัศนคิตและความเชื่อใหม่ หากสามารถปรับปรุง
หรือเปลี่ยนแปลงทัศนคติบางอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“เราต้องชนะ” แต่เพียงอย่างเดียวก็จะสามารถคลีคลายสถานการณ์ไป โดยมีตัวเลือกที่สมดลุย์ได้บ้างเสียบ้างแต่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย
ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าในกรณีที่แพ้แล้วอาจไม่ได้
หรือไม่เหลืออะไรเรยหรือไม่?
C = Compromise
การประณีประนอม นอกจากนี้ยังอาจมีความหมายว่า
ยอมความ, อ่อนข้อ, หรือ
อะลุ้มอล่วย ในเชิงกริยา ต้องดึงดูดทุกฝ่ายให้มีแนวคิดในการประณีประนอมมากกว่าการเอาชนะคะคานกัน ซึ่งจะทำให้เกิดสถานการณ์ WIN-WIN แต่ก็อาจจะได้ไม่หมด ได้บางส่วน
และเสียบางส่วนไปเพื่อความผาสุขของทุกฝ่ายหรือไม่ ??
E
= Equity ในภาษาบัญชีหมายถึงทุน แต่ในทางสังคมศาสตร์แล้วหมายถึง “ความเสมอภาค” ซึ่งขยายความได้ว่า ความยุติธรรม
(equity) คือ
การได้รับโอกาสตามที่ต้องการอย่างเป็นธรรมสมเหตุสมผล (fairness) ต่างจากคำว่า ความเท่าเทียม
(equality) คือ การได้รับโอกาสทุกอย่างเหมือนกัน (sameness) ตัวอย่างในกรณีนี้ เช่น
การแบ่งทรัพย์สิน
อาจจะมีกรณีที่ไม่สามารถแบ่งได้ลงตัวตามจำนวนเงิน แต่อาจจะแบ่งเพื่อให้โอกาสสำหรับผู้ด้อยกว่า
(มีเงิน หรือ โอกาสหาเงินได้น้อยกว่า)
ได้รับทรัพย์สินที่มากกว่า (พอประมาณ) โดยอาศัยความรัก และ ความผูกพัน
ดีกว่าหรือไม่ ??
ท้ายที่สุดนี้ก็คงเป็นแค่แนวทางในการเจรจาต่อรอง
ไกล่เกลี่ย โน้มน้าว ฯลฯ
ส่วนในสนามจริงยังคงมีเหตุปัจจัยอีกหลายประการที่ต้องอาศัยความชำนาญ องค์ความรู้ในด้านต่างๆ และ
ประสบการณ์ของแต่ละคนเป็นสำคัญนั่นเอง


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น