วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

 

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก

23 พฤษภาคม 2568 


               ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”  จากปลายปี 2019  จนทำให้ต้องปิดประเทศงดการเดินทางในปี 2020-2021 สองปีเศษที่ธุรกิจหยุดชะงัก   พอจะเริ่มฟื้นตัวก็มามีสงครามยูเครนกับรัสเซีย  สงครามอิสราเอลกับฮามาส  ต่อด้วยมาตราการทางภาษีของประธานาธิบดีผู้บ้าคลั่ง “ทรัมป์”  ยิ่งตอกย้ำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก  ชลอตัว  จนเกือบจะอยู่ในภาวะถดถอย   เรียกได้ว่ากว่าจะถึง 2030 ในอีก 5 ปีข้างหน้าก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่   โดยเฉพาะในประเทศไทย   ที่มีปัญหาหมักหมมมาไม่ว่าจะเรื่อง การศึกษาที่ผลิตบัณฑิตผิดพลาด  ประชากรสูงวัยอย่างสมบูรณ์   ขาดแคลนแรงงาน  ความมั่นคงทางการเมือง  การแตกแยกทางความคิด  และที่สำคัญที่สุด  “การคอรับปชั่น” 

               ที่วันนี้หันไปทางไหนก็จะพบ  ทหารขายปืนเถื่อนในค่ายทหารที่ภาคใต้    เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงโอนเงินให้สีกา 300 ล้านบาท (ปิดจ้อปน่าจะเป็นพันล้านหรือไม่)   หมอโรงพยาบาลทหารแห่งหนึ่งให้คนไข้เวียเทียนมาแล้วจ่ายยาเพื่อนำยาไปขาย   อัยการทุจริตรับเงินทองและช่วยลูกบอส  ตำรวจไม่ต้องพูดถึง 55555  ผอ.โรงเรียนอมเงินค่าอาหารกลางวันเด็ก   ไม่เว้นแม้แต่ผู้พิพากษาเร็วๆนี้โดนไล่ออกไป 3  คน 

               แต่เราจะไม่   พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก “    เพราะบทความนี้จะนำเสนอมุมมองที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยว  ที่ดูเสมือนว่าในปี 2568 นี้จะยังคงเป็นอุตสาหกรรมเดียวที่ยังพออยู่ได้   แต่ไม่ค่อยมั่นคงเสียแล้วเพราะคู่แข่งทั้งรอบบ้าน  และรอบโลก  ก็คิดเหมือนกันว่าเป็นอุตสาหกรรม  QUICK WIN  คือขายได้ปั๊บรับเงินเรย  และทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินนั้นในทันที  

               หมายถึงว่าเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในบ้านเรา เป็นค่า อาหาร  เดินทาง ที่พัก  ของที่ระลึก  ฯลฯ  ผู้ประกอบการก็นำเงินนั้นไปใช้ต่อได้ทันที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน  1.5-3.0 รอบ  จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ    เพราะหากเป็นอุตสาหกรรมการผลิตแล้วต้องมีกระบวนการสั่งซื้อวัตถุดิบ  การผลิต  การส่งมอบการส่งออก  การจัดจำหน่าย  กว่าจะถึงผู้บริโภคก็ใช้เวลานานและหากผิดพลาดขายไม่ออกก็จะมีต้นทุนจมอยู่ในสต้อกสินค้านั่นเอง

               แล้วนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นหรือไม่ ??  โดยภาพรวมแล้วก็ต้องบอกว่าเติบโตขึ้นเล็กน้อย  แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ   ด้วยสาเหตุ   เรื่องความปลอดภัย  ราคาค่าใช้จ่า   รวมทั้งทัศนคติของคนไทยต่อ นทท.จีน  ฯลฯ  ซึ่งท่านคงได้อ่านหรือฟังบทวิเคราะห์ที่หลากหลายมาแล้ว

               แต่ลืมไปอย่างหนึ่งที่  “แหล่งท่องเที่ยว”  บ้านเรามีอะไรใหม่ๆในรอบ  10-20  ปีที่ผ่านมาบ้าง ?????????

คำตอบคือไม่มีอะไรใหม่    เราขายของเก่า  ขายวัฒนธรรม  ขายแหล่งธรรมชาติ   ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่ก็อาจจะขาดแรงดึงดูด  สำหรับสถานทีท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่เรียกว่า   MAN MADE DESTINATION

               วันนี้หากเรามองไปที่เวียดนามที่พัฒนาการท่องเที่ยวในรอบ 10 ปีนี้อย่างต่อเนื่องและไปในทิศทางเดียวกันและต่อเนื่อง  อีกทั้งค่าใช้จ่ายยังมีราคาถูก  ทัวร์ไปเที่ยวเวียดนาม  10000บาท เศษๆ  ช่วงโปร ไม่ถึงหมื่นถูกกว่าไปภูเก็ตเสียอีก   ทำให้จำนวนักท่องเที่ยวในปี 2024 มีถึง 17.5  ล้าน และว่างแผนว่าในปี 2030 จะมีนักท่องเที่ยว  30 ล้าน เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว

               บ้านเราทะเลาะกันมาว่าภูกระดึงควรมีกระเช้าหรือไม่ตั้งแต่ผมเรียนปี 1 เมื่อ 2521  ผ่านมา 47 ปีเมื่อสัปดาห์ก่อน ครม.เพิ่งอนุมัติงบศึกษาการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง  รอจนหลานเข้ามหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าจะมีกระเช้าหรือไม่ !!!!

ในขณะเวียดนามได้พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่บานานาฮิลล์  ซาปา  เกาะฟูก๊วก ซึ่งเดิมเป็นป่าเขาลำเนาไพร  ตอนนี้ใครๆก็อยากไปฟูก๊วก   ทั้งหลายนี้เป็น  MAN MADE DESTINATION ทั้งสิ้น   มีกระเช้าพานักท่องเที่ยวเดินนทางด้วยความสะดวกสบาย

 

สำหรับประเทศจีนแล้วเรียกได้ว่าเดินทางท่องเที่ยวตลอดชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะทั่วทุกแห่งในประเทศจีนหรือไม่    แต่ลองมาดูที่อยู่ใกล้ๆประเทศไทย  คือ  จูไห่ ที่อยู่ติดกับมาเก๊าข้ามชายแดนไปก็จะพบกับ  สวนสนุกใหญ่ที่สุดในโลก  Chimelong Ocean Kingdom (ฉางหลง โอเชี่ยน คิงดอม)   ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปไม่ขาดสายเพราะมีที่เที่ยวเรียกได้ว่าอยู่ในฉาลหลง  สามวันสามคืนไม่ต้องออกไปไหนเลยก็ได้    แถมไม่ต้องมีคาสิโนก็สามารถถึงดูดนักท่องเที่ยวได้เช่นกัน  เพราะมีกิจกรรมให้เล่นได้ทั้งสามวันสามคืน  ที่แปลกแตกต่างก็คือการนอนในอความเรียม ที่ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนที่ใดในโลกนั่นเอง

 

 


 

ผมไปสิงค์โปรครั้งแรกเมื่อปี 2525 ทัวร์พาไปดูการกรีดยาง !!!!!   ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้ส่งออกยางพาราแม้แต่น้อย   พอมีสวนยางอยู่เล็กน้อยแต่ก็สร้างกิจกรรมให้คนไม่เคยดูได้ไปดูการกรีดยา    ไปอีกครั้งในปี   2527 ไปฮันนีมูน   ก็มีแต่สถานที่ท่องเที่ยวดั้งเดิม  เช่น เมอร์ไลอ้อนพ่นน้ำ   เซนโตซ่า  มีน้ำพุเต้นระบำ  แต่ 40 ปีผ่านไป มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  นับไปนับมานับไม่ถ้วน  ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็น  MAN MADE DESTINATION  เพราะสิงค์โปรไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ   ไม่มีจุดขายทางวัฒนธรรม  ดังนั้นจึงต้องสร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็น

มีมารีน่าเบย์แซนด์    ArtScience Museum   การ์เด้นออฟเดอะเบย์    จีเวล(Jewel)    สิงคโปร์ฟลายเออร์ (Singapore Flyer)    River Wonders หรือในชื่อเดิมคือ  River Safari      Universal Studios Singapore

 

            ลองนึกดูว่าในรอบ  20 ปีที่ผ่านมาเรามี  แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อะไรบ้าง ????  เอ็นเทอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์

รีบๆสร้างเถอะพ่อคุณไม่ต้องมีคาสิโนก็ได้  หรือ ถ้ามีก็แค่ สร้างกฎเกณฑ์    “ห้ามคนไทยเข้า”  ผู้ที่เห็นต่างก็ไม่มีข้ออ้างในการไม่เห็นด้วย   แต่...... จะไปขัดกับผลประโยชน์ในด้านอื่นๆ หรือไม่  ก็ลองพิจารณาดูเด้อ....พี่น้อง...............

เกือบหลับแต่กลับมาได้

 


เกือบหลับแต่กลับมาได้

10 พฤษภาคม 2568

            คำศัพท์วัยรุ่นข้างต้นที่ว่า  “เกือบหลับแต่กลับมาได้”  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำมาใช้เป็นครั้งแรกๆ  แต่โดยส่วนตัวนั้นผมคาดว่าน่าจะมาจากคนในวงการกีฬา  โดยเฉพาะมวยเพราะเราจะเห็นมีนักมวยที่ดูเจียนอยู่เจียนไป  ไม่น่าจะยืนยาวได้อีกในยกหน้าหรือแพ้แน่ๆนั่นเอง  แต่สามมารถพลิกฟื้นกลับมาเป็นผู้ชนะได้ในที่สุด   ดังนั้นคำนี้ก็จะหมายถึง “สามารถพลิกจากความพ่ายแพ้มาเป็นผู้ชนะได้อีก”   โดยที่สามารถทำนำมาใช้กับในวงการธุรกิจที่หลายๆองค์กร  หรือสินค้าหลายๆแบรนด์เกือบหายไปจากตลาด    หรือธุรกิจต้องปิดตัวเองไป แต่ก็สามารถกลับมายืนหยัดด้วยกระบวนท่าที่แตกต่างกัน  ทั้งอยู่ในธุรกิจเดิม  หรือธุรกิจใหม่ที่มีทั้งใกล้เคียงกับสินค้าเดิมเรียกได้ว่ายังอยู่ในหมวดอุตสาหกรรมเดิม   หรืออยู่ในอุตสาหกรรมใหม่ไปเลยก็ได้ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวขององค์กร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารเป็นสำคัญ   ว่าสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทั้งของ  เทคนโนโลยี  สังคมพฤติกรรมของผู้บริโภค  และการสื่อสารที่เปลี่ยแปลงอย่างรวดเร็ว    ดังตัวอย่างเช่น

 

โนเกีย NOKIA    เคยยิ่งใหญ่ด้วยโทรศัพท์มือถือ ที่คนรุ่นอายุ  50 ปีขึ้นไปจะรู้จักเป็นอย่างดีโดยเฉพาะรุ่น 3210  ที่เป็นตำนาน      แต่ก็ล้มหายตายจากไปเพราะไม่ปรับตัวและหยิ่งทรนงในความสำเร็จของตนเอง    จนวันที่แอปเปิ้ล กับ ซัมซุง สามารถเจาะและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ยอมรับโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีแป้นกด    และยังมีความสามารถที่หลากลาย    แม้จะมีความพยายามจากผู้บริหารของโนเกียในยุคต่อมาที่จะพยายามพลิกฟื้นสถานการณ์    แม้จะไม่สามารถกลับมาครองบัลลังค์โทรศัพท์มือถือได้  แต่ก็กลัมาเป็นที่หนึ่งเป็นบริษัทด้านโทรคมนาคมและผู้ให้บริการ Software-as-a-Service (SaaS)    .

                รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายการสื่อสาร (Network Infrastructure)     การพัฒนาสัญญาณโทรศัพท์ (Mobile Networks)   ในธุรกิจ 5G  และคงขยายเป็น หลายๆ G มากขึ้นในอนาคต   ซึ่งนอกจากใช้ในโทรศัพท์มือถือแล้วยังนำไปใช้ในทางอุตสาหกรรมทั้งในการผลิต  การสื่อสาร  ความบันเทิง  พลังงาน  การบิน  การขนส่ง  ที่สำคัญในอุตสาหกรรมอัจฉริยะทั้งหลาย  ไม่ว่าจะ IoT  เกษตรอัจฉริยะ  รถไร้คนขับ ฯลฯ

แลยังเป็นผู้ให้บริการด้านคลาวด์และเครือข่าย (Cloud & Network Services)  รับทำ Cloud Transformation ให้กับองค์กรที่ทั้งด้านออกแบบ วางระบบ ฯลฯ  ซี่งในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้าองค์กรทั้งหลายก็ต้องเปลี่ยนแปลงและยอมรับรวมทั้งใช้เทคโนโลยีนี้    เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน  และประหยัดลดต้นทุนได้อีกด้วย

           และประการสุดท้ายโนเกียเป็นเจ้าของสิทธิบัตร ให้เช่าใช้สิทธิบัตรมากกว่า 20,000 รายการ   สำหรับเทคโนโลยีด้านเครือข่ายและการสื่อสาร (Nokia Technologies) โดยมุ่งเน้นไปที่การวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารและครอบครองสิทธิบัตรเป็นสำคัญ 

 

Kodak    ที่คนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักเพราะไม่คุ้นเคยกับการถ่ายรูปด้วยระบบฟีล์ม   ซึ่งโกดักเป็นผู้ครอบครองตลาดฟีล์ม และ การล้างภาพเป็นอันดับหนึ่งของโลกอยู่หลายทศวรรษต ซึ่งหลายคนไม่ทราบว่าจริงๆแล้วผู้คิดค้นกล้องถ่ายรูปดิจิตอลขึ้นเป็นคนแรกโดย Steve Sasson ในปี 1975 ที่ห้องทดลองของ Kodak  แต่ด้วยความทรนงว่าตนเองเป็นเจ้าแห่งโลกถ่ายภาพด้วยฟีล์ม  ตลอดจนกลัวธุรกิจฟีล์มของตนจะถูกแทนที่ด้วยดิจิตอล  จึงไม่ได้มีการพัฒนาต่อยอดจนในที่สุด  กล้องดิจิตอล  และ การถ่ายภาพด้วยมือถือก็มาแทนที่อย่างสมบูรณ์ในอีก 20 ปีถัดมา


 


            แต่แทนที่จะหลับไปเรยโกดักแม้ว่าจะต้องปิดตัวธุรกิจฟีล์มถ่ายภาพและการพิมพ์ภาพแบบดั้งเดิมไป   แต่ก็ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วยการปรับตัวและ  สามารถกลับมาอยู่ได้ด้วยธุรกิจดังต่อไปนี้

Print ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ทั้งหมดเพราะโกดังมีพื้นฐานในการพิมพ์ภาพจากฟีล์มถ่ายภาพมาเป็นร้อยปี    ดังนั้นเทคโนโลยีการพิมพ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น การพิมพ์ดิจิทัลที่มีทั้งโซลูชันเครื่องพิมพ์ เทคโนโลยีการพิมพ์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์หมึกพิมพ์และการเคลือบสี และส่วนงานธุรกิจการพิมพ์ซึ่งใช้ในการพิมพ์หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

Advanced Materials & Chemicals ซึ่งเป็นส่วนงานสนับสนุนให้บริการผลิตภัณฑ์ฟิล์มประเภทต่างๆ อย่างฟิล์มทั่วไปและฟิล์มที่ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไปจนถึงกลุ่มเคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมที่ผู้บริโภคทั่วไปคงไม่คุ้นเคย  เพราะผู้ซื้อเคมีภัณฑ์เหล่านี้ซื้อสินค้าไปเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอีกต่อหนึ่ง  

                 และอีกส่วนหนึ่งที่เหมือนกับโนกีย ก็คืองานวิจัยที่มี  Kodak Research Laboratories ซึ่งเป็นทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อยอดสินค้าของบริษัท ตลอดจนดำเนินการด้านสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา

            สิ่งหนึ่งที่เราเห็นในสององค์กรนี้เหมือนกันก็คือ   มีความพยายามมุ่งมั่น  แม้จะผิดพลาดจากเกมส์แรกแต่ก็ไม่ย่อท้อ   มองหาความสามารถในการแข่งขันและ “วิจัย  พัฒนาต่อยอดสินค้า”   จนสุดท้าย  “เป็นเจ้าของสิทธิบัตร”   ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในอนาคตอย่างยั่งยืน  

 

 

“ธรรมดาโลกไม่จำ”

 


ธรรมดาโลกไม่จำ”

9 พฤษภาคม 2568

ถ้าว่ากันตามหลักการตลาดแล้วก็คงหนีไม่พ้นแนวคิดของปรมาจารย์  ฟิลิลิป คอตเลอร์  ที่เป็นเจ้าของหลัก 4 P คือ  PRODUCT  PRICE PLACE PROMOTION    ซึ่งภายหลังก็ได้ขยายเป็น  5 P  7 P  8 P ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน  แต่สุดท้ายหลัก 4P ก็เป็นแกนกลางของการตลาด  เพราะที่เหลือก็คือเป็นส่วนประกอบร่วมที่นับวันมีความสำคัญมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น PACKAGING  PEOPLE  PROCESS   PHYSICAL EVIDENCE    

ในเมื่อเรียนมาจากทฤษฎีเล่มเดียวกัน  องค์ความรู้เท่าๆกัน ดังนั้นก็จะทำคล้ายๆกัน  เช่น ลดห้าสิบเปอร์เซนต์   ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง    แต่สิ่งที่จะทำให้แบรด์ หรือ องค์กรนั้นๆประสบความสำเร็จมากกว่า    ก็คือการสร้างแคมเปญที่ โดดเด่น ทั้งในแง่ ความคิดสร้างสรรค์, ความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค, และ แรงกระเพื่อมทางสื่อ  ยิ่งถ้าเป็นสื่อสังคมออนไลน์แล้วมีความโดดเด่นจนสือหลักนำไปสื่อสารต่อ   ก็จะยิ่งทำให้แคมเปญนั้นๆประสบความสำเร็จมากขึ้น    ทั้งนี้ก็พอจะสรุปเป็นหลักการในการสร้างแคมเปญให้   “โลกจดจำ” ดังนี้:

1. มี "Big Idea" ที่เฉียบคมและแตกต่าง

ตัวอย่าง: “Share a Coke” ของ Coca-Cola ที่เปลี่ยนชื่อแบรนด์บนขวดเป็นชื่อจริงของผู้บริโภค

แนวทางไทย: ใช้ “อารมณ์” และ “วัฒนธรรมท้องถิ่น” ให้คนรู้สึกอิน เช่น “คิดถึงนะ” บนบรรจุภัณฑ์สินค้า แต่น่าเสียดายไม่มีชื่อผม  ไม่งั้นจะซื้อแจกหน้าปากซอยซัก 3 วัน  แต่ในอนาคตก็ไม่แน่อาจจะมีเครื่องพิมพ์กระป๋องอยู่ที่ร้านเลือกพิมพ์ได้ตามใจชอบเลย  แต่คงจะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงๆ  หรือ มีกำไรต่อหน่วยมากหน่อยก็ได้


2. ใช้ Story telling ที่อยากติดตาม  อยากเล่าต่อ  เรียกได้ว่าเรื่องนั้นๆมันน่าจดจำ  บอกต่อ

ตัวอย่าง: “Real Beauty Sketches” ของ Dove ที่พูดถึงมุมมองของความงามในแบบมนุษย์จริง  เรียกได้ว่าไม่ว่าสูงต่ำดำขาว  ก็นับเป็นความสวยงาม


3. เล่นกับอารมณ์ (Emotional Trigger)   เช่น ความสุข ความซึ้ง ความฮา หรือความโกรธ

แคมเปญต้อง “กระแทกใจ” หรือ “ท้าทายความเชื่อเดิม” เพื่อให้เกิดการแชร์  ติดตาม และหรือ เข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ

ตัวอย่าง :  “สบู่อิงอร” ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานั้นได้ได้เหมารถบรรทุกน้ำ  พร้อมทีมงานเพื่อแจกจ่ายน้ำ เข้าร่วมกิจกรรมสงกรานต์ที่ถนนสีลม ฯลฯ ในกทม  แล้วตามต่อด้วยแจกตัวอย่าง  และสามารถนำไปต่อยอดแคมเปญทดลองอาบน้ำกลางสยามได้อีกด้วย 



 

4. ผสมผสาน Online + Offline  ซึ่งต้องทำอย่างลงตัว  จัดกิจกรรมหน้าร้าน/อีเวนต์ควบคู่กับไวรัลออนไลน์

ตัวอย่าง :  โรงภาพยนต์เอสเอฟ มีแคมเปญข้าวโพด 199 บาทเอาภาชนะอะไรมาใส่ก็ได้  แน่นอนค่าข้าวโพดอาจจะขาดทุน  แต่ค่าชมภาพยนต์ซึ่งมีคนน้อยหรือมากเมื่อถึงรอบก็ต้องฉายอยู่แล้ว  แต่ก็นับได้ว่าเรียกแขกและยอดขายได้มากมายทีเดียว



 

5. สร้าง Call-to-Action   ที่จดจำได้ง่าย แต่ทรงพลังตัวอย่างเช่น hashtag ติดปากอย่าใช้คำที่ยืดยาว , เกมที่ใครก็เล่นได้

ตัวอย่าง :  AIS  ที่แต้มสามารถแลกฟรี   หรือใช้แค่ 1-100 คะแนนแลกส่วนลดได้มูลค่าที่เสมือนว่าคุ้มสุดคุ้ม   โดยมีตัวมาสคอตอุ่นใจเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับลูกค้าซีรีเนด


6. วัดผลและต่อยอด  ซึ่งเป็นประการสุดท้ายว่าเมื่อได้ดำเนินการแคมเปญนั้นๆแล้ว  ให้สำรวจดูว่าคนพูดถึงแคมเปญในแง่ไหนบ้าง แล้วปรับให้ "ยืดหยุ่น" ได้ตามกระแส

ตัวอย่าง : “เนสกาแฟกระป๋อง” มีแคมเปญขึ้นรถเมล์ฟรี  ที่ใช้งบไม่มากนักแต่สามารถเป็นที่จดจำได้  ด้วยการเช่ารถเมล์ วันละ 50 คัน เป็นเวลา 6 วัน  ในภายหลังได้ขยายไปยังเมืองอื่นๆ เช่นภูเก็ตเป็นต้น


 


วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จะเหลืออะไรหรือไม่ ??

 

(เครดิตภาพ : กรุงเทพธุรกิจ) 

จะเหลืออะไรหรือไม่ ??

29 เมษายน 2568

            ทุกวันนี้นักธุรกิจ นักการเงิน และผู้ลงทุนทั้งไทยและเทศต่างส่ายหน้ากับภาวะเศรษฐกิจ    ที่ดูเหมือนจะไม่มีอนาคตเอาเสียเรย   ไม่ว่าจะหันไปทางประเทศใดหรือนักธุรกิจพ่อค้าขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตามก็ต่างตอบกันเป็นเสียงเดียวว่า “เศรษฐกิจแย่”  

            แต่เมื่อมองไปยังอัตราการขยายตัวของแต่ละประเทศซึ่งเป็นตัวเลขในภาพแมคโครหรือภาพกว้างต่างก็เห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ  ซึ่งเราคงไม่เอาประเทศเราไปเปรียบกับ G7 หรือ G20 ที่เค้าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว  ขอเปรียบเทียบแค่กับอาเซียน   (เครดิตภาพ : กรุงเทพธุรกิจ)

     

        เราก็จะพบว่าหลายปีที่ผ่านมาการเติบโตของเราอยู่อันดับท้ายๆของอาเซียน  ล่าสุด ปี 2568 ณ.เมษายน  ของเราอยู่รองบ้วย  ชนะแค่เมียนมาร์ซึ่งอยู่กับระบบรัฐประหารแถมมีการสู้รบภายในประเทศและภัยพิบัติต่างๆ  ล่าสุดก็เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่  สร้างความเสียหายจนยากต่อการเยียวยา  

            อย่าไปอ้างว่าเกิดจากโควิด   ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก  หรือแม้แต่อ้าง  ทรัมป์   เพราะทุกชาติในอาเซียนก็ได้รบผลกระทบในลักษณะเดียวกัน  ใกล้เคียงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ดังนั้นหากวิเคราะห์ว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยเรานั้นเป็นอย่างไร   เพื่อที่จะได้พัฒนาปรับปรุงให้ประเทศไทยนั้นน่าลงทุน  เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างมั่นคง  เหมือนในยุคโชติช่วงชัชชวาลย์ ประมาณปี  2520-2535 ก็จะพบว่า

 

 

ความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลงทุกด้านจนแทบจะไม่เหลือที่ยืนในอาเซียนแล้วดังนี้

1. คุณภาพการศึกษาและแรงงาน   เราผลิตบัณฑิตทางสังคมศาสตร์มากมายก่ายกอง  ในขณะที่สายวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ  โดยเฉพาะนักวิจัยโลก  แต่ขาดเสียซึ่งคุณสมบัติในการคิด วิเคราะห์    ค่านิยมว่าต้องมีปริญญายังฝังอยู่ในหัวของประชาชนในทุกระดับชั้นทำให้เราผลิตบุคคลากรที่มีระดับความรู้(ไม่ใช่ความรู้) สูงกว่าความต้องการของตลาดแรงงาน  เช่น เราเห็นพนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อ  จบปริญญาตรี     คนขับแท๊กซี่จบ ปริญญาโท  เป็นต้น 

2.นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เราต้องนำเข้า  และซื้อหา แทบจะไม่มีนวตกรรมและเทคโนโลยี่ที่เป็นของตนเองเรย  ยกเว้นในหมวด อาหาร  และการเกษตรที่พอจะช่วยกู้หน้าได้บ้าง    หากมองย้อนไปเกาหลีเมื่อ 40 ปีที่แล้วเค้าแย่กว่าประเทศไทยไม่รู้กี่เท่า  แย่ขนาดที่ว่าไม่มีเงินจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 6  จนไทยเราต้องรับจัดแทน   แต่วันนี้เราจะเห็นว่าบริษัทเทคฯ  บริษัทรถยนต์  ฯลฯ เป็นของเกาหลีมากมายไม่ว่าจะเป็นซัมซุง  ฮุนได  เกีย  เดวู  หรือ  ศิลปินระดับโลกก็มี K-POP เป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ

3. สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ   การสร้างเงื่อนไข ความซับซ้อนของกฎหมาย กฎระเบียบราชการ และการขออนุญาตต่าง ๆ  (Ease of Doing Business )  ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องขอสำเนาบัตรประชาชน และ ทะเบียนบ้าน  การขออนุญาติก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องขอหนังสือรับรอบบริษัท  พร้อมงบดลุย์  ฯลฯ  ที่เอาไปก็ไม่เคยไปตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่    ทำให้คนที่จะประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องหนีหาย   และเกิดช่องให้มี  “จีนเทา”   “จีนดำ”  เต็มเมืองไปหมด  ทั้งธุรกิจน้อยใหญ่  ตั้งแต่ขายแอร์ซ่อมแอร์  ร้านอาหาร  ร้านสะดวกซื้อ จนเกิดคอมมูนจีนแถวห้วยขวาง ประชาสงเคราะห์ เต็มไปหมด  ไปจนก่อสร้างไชนาเรลเวย์นัมเบอร์10  ที่รับงาน สตง.  หรือ บริษัทแถบระยอง ชลบัรี  เรียกได้ว่าเป็นนิคมศูนย์เหรียญเรย  เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

4. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์  ที่เรายังต้องพัฒนาอีกหลายสิบปีแม้ระบบถนนจะพัฒนาได้อย่างมีนัยสำคัญ  แต่ระบบรางเราถูกศาลรัฐธรรมนูญระงับว่าไม่ให้กู้เงินเพื่อก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเพราะถนนลูกรังยังไม่หมดไปจากประเทศไทย   ขำไม่ออกเรยจนตอนนี้ยังไม่มีเส้นทางผ่านมา เกือบ30ปี  

5. โครงสร้างประชากรและสังคมไทย  ปี พ.ศ. 2568 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) มีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากกว่า 14 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20.17% ของประชากรรวม. นอกจากนี้ ยังมีประชากรสูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) ประมาณ 14% ของประชากรรวม  ซึ่งไม่มีผลผลิต (ไม่ได้ทำงาน)  และบุคลากรเหล่านี้จับจ่ายใช้สอยน้อยลงไปตามวัน  แต่จะไปเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายในภาพสุขภาพและการรักษาโรคแทน   

จำนวนประชากรในวัยแรงงาน ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 ประชากรวัยแรงงาน มี 40.45 ล้านคนอยู่ในกำลังแรงงาน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ต้องนำเข้าแรงงานต่างชาติเข้ามา  4.0 ล้านคน (ที่มา: กรมการจัดหางาน  เมษา 2568 )  ไม่นับที่ผิดกฏหมายซึ่งน่าจะมีอยู่ไม่น้อยกว่า  2-3 ล้านคน  คนเหล่านี้เมื่อได้รับค่าแรงมาก็ใช้จ่ายในประเทศเราเพื่อการยังชีพที่เหลือก็ส่งกลับไปยังครอบครัวในบ้านเกิด  ซึ่งจะไปสร้างอำนาจซื้อในประเทศนั้นแทน 

6.. ความสามารถในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก    ซึ่งรัฐบาลไทยนั้นขาดการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก  เพราะเราผลิตสินค้าทีอาจจะเรียกได้ว่าล้าหลัง  ขาดการสร้างสรรค์ ขาดนวตกรรม  (ยกเว้นในหมวดอาหาร)  ในขณะที่โลกต้องการสินค้าเทคโนโลยี่  เอไอ  ไอโอที  นวตกรรม แต่เรากลับพัฒนาไปไม่ทันกับความต้องการของโลก

7.ความมั่นคงทางการเมือง  ปัจจัยนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยติดกับดักการแสวงหาอำนาจ  และ ผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการเมืองที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย  สร้างความเกลียดชังจนมิอาจจะกลับมาเหมือนเดิมได้   ก็ยิ่งทำให้ปัจจัยทั้ง 6 ข้อข้างต้นนั้นไม่มีโอกาสในการพัฒนาได้   เพราะนักการเมือง   ข้าราชการ  องค์กรอิสระ ต่างก็คอยแต่จะตักตวงแสวงหาอำนาจ  ผลประโยชน์  จนไม่มีประชาชน และ ประเทศชาติอยู่ในสมการ

โดยสรุปแล้วอนาคตของประเทศไทยอยู่ตรงไหน...... ผมเองมองไม่ค่อยเห็นโอกาสเสียเท่าใด   !!!

นึกไม่ออกว่าอีก 20-30  ข้างหน้า เราจะล้าหลังเวียดนามหรือไม่ ???  เพราะทุกข้อข้างต้นนั้น เวียดนามได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง   เพราะ ......”ขจัดทุจริต  คอรับปชั่น”  ...... อย่างจริงจังและต่อเนื่อง   ไม่ใช่มีแต่  “คนดีย์”  ที่รองาบประเทศไทย.....

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

ทศวรรษตที่หายไป

 

(ภายจาก :กรรมกรข่าว) 


          สงครามการค้ายังหาจุดจบและลงตัวไม่ได้   ซึ่งได้เกิดขึ้นระหว่าง จีน และ สหรัฐอเมริกา  เริ่มมา ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018  โดยทรัมป์ประกาศเก็บ ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน วงเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ โดยอ้างถึง   การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับจีน , การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา, การบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีจากบริษัทสหรัฐฯเมื่อไปลงทุนในจีน

ซึ่งทางจีนก็ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ตอบโต้ในระดับเดียวกัน  หลังจากนั้นก็ลุ่มๆดอนๆมาตลอด  จนมาเมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานธิบดีอีกสมัย   และได้ประกาศสงครามแบบเต็มรูปแบบกับจีนเริ่มในเดือน กพ. 68  โดยปรับขึ้นภาษีระหว่างกันไปมา   รวมแล้ว  145%

ช้างสารชนกันหญ้าแพรก็แหลกราญ  นี่พอมีเวลาให้หายใจอีก 90 วัน เพราะทรัมป์ประกาศขยายเวลาบังคับใช้  และบางหมวดสินค้าก็ยกเลิกการเก็บภาษีมหาโหดที่ทำร้ายทุกประเทศในโลก   รวมทั้งสหรัฐเองด้วย  เหมือนกับการเล่นไพ่เกกันไปมาโดยที่อาจจะไม่ได้ดูไผ่ในมือตนเอง หรือประเมิณจีนต่ำไปหรือไม่

ทำให้ในทศวรรษตที่หายไปต้องเพิ่มปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าในครั้งนี้ลงไปด้วย   แม้ว่าทศวรรษตที่ผ่านมาจะมีสินค้ามากมายที่หายไปอันเนื่อมากจาก  พฤติกรรมผู้บริโภค บริบททางสังคม  และเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนแปลงไป

        การมีสตรีมมิ่งภาพยนต์  บันเทิง  ไม่ว่าจะเป็ฯน   Netflix, Disney+, Spotify

กล้องดิจิทัลคอมแพค ที่หายไปเพราะสมาร์ตโฟนถ่ายรูปได้ดีขึ้นมากสามารถทำวีดีโอ  และตกแต่งภาพ  ด้วยแอพพลิเคชั่น และ AI  ที่นับเป็นกระแสในปัจจุบัน

ทางด้านสังคม  เช่นการใช้โอนเงินทางออนไลน์  คิวอาร์โคด เหมือนที่เราเห็นกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่  คือการให้เงินขอทานในจีนผ่านทางคิวอาร์โคด

การทำงาน การประชุม ออนไลน์   รวมทั้งการเรียนการสอนด้วย   ซึ่งถูกกระตุ้นในสมัยโควิดระบาดนั่นเอง

            แล้วทศวรรษตที่ผ่านมาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมีผลกระทบอย่างไรบ้าง สามารถแบ่งได้เป็น  6 ด้าน  ดังนี้

1. คุณภาพการศึกษาและแรงงาน  เราผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับความต้องการของตลาด  แถมผลิตแบบไม่ได้คุณภาพอีกด้วย   มีแต่บัณฑิตซึ่งตอบสนองความต้องการทางสังคมที่ลูกต้องเรียยนจบปริญญา (สาขาอะไรก็ได้ขอให้จบมาก่อน)    เราต้องสายวิทยาศาสตร์  ก็ดันผลิตสายสังคมมากกว่า  แถมยังเน้นในเรื่องการท่องจำ  ไม่สามารถคิด วิเคราห์  แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้  ยกตัวอย่างเช่น ลองถามพนักงานดูว่าทำไมทำอย่างนี้  ก็จะได้คำตอบประมาณว่า พี่ ... เค้าให้ทำแบบนี้    แทนที่จะตอบว่าการทำแบบนี้นั้นสามารถทำให้งานรวดเร็วขึ้น  เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บลาๆๆๆ    นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยทั้งหลายผมไม่มีตัวเลขที่แท้จริงแต่ประมาณว่า 80-90%  เป็นงานวิจัยทางสังคมศาสตร์  ที่แทบจะเอาไปต่อยอดหรือพัฒนาได้น้อยมากๆ

2.นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ประเทศไทยนั้นต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถแข่งขันได้  โดยดูจากดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index - GII) ปี 2024 ซึ่งจัดทำโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ประเทศไทยมีอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดังนี้:  ​(ข้อมูลจาก : TheGlobalEconomy.com / Slovanian Trime )

ระดับโลก    อันดับที่ 41 จาก 132 ประเทศWIPO

              ระดับเอเชียอันดับที่ 9 จาก 17 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอ

 ระดับอาเซียน  อันดับที่ 3 รองจาก:   สิงคโปร์ (อันดับที่ 4 ของโลก)   มาเลเซีย (อันดับที่ 33 ของโลก   ตามด้วย  เวียดนาม (อันดับที่ 44 ของโลก)    ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 56 ของโลก)   อินโดนีเซีย (อันดับที่ 61 ของโลก) ​

3. สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ   การสร้างเงื่อนไข ความซับซ้อนของกฎหมาย กฎระเบียบราชการ และการขออนุญาตต่าง ๆ  (Ease of Doing Business ลดลง)   รวมทั้งปัญหาคอรัปชั่นที่เบ่งบานเหลือเกินในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา  ไม่ว่าทั้งรัฐบาลเลือกตั้ง หรือ รัฐบาลจากการปฏิวัติ  เรียกได้ว่าหนีเสือปะจรเข้ (ที่ตัวใหญ่กว่าหรือเปล่า ?)   จน สตง. ตึกถล่มจากแผ่นดินไหวยิ่งทำให้เห็นความเน่าเฟะของระบบการเมือง  และ ระบบราชการไทย  หดหู่.......    เราเคยเห็นเกาหลีใต้ที่ล้าหลังเราเมื่อ 50 ปีก่อนแต่พอปราบคอรัปชั่นได้  และปรับระบบการศึกษา  เท่านนั้นและประเทศไปติดระดับโลกเรย    ทุกวันนี้เวลาไปติดต่องานราชการในนามบริษัทยังต้องมีสำเนาหนังสือรับรองบริษัท และ สำเนาบัตรประชาชน  (ดีหน่อยที่ว่า ตอนนี้ทะเบียนบ้านไม่ต้องแล้ว)  ถามเจ้าหน้าที่ว่าเอาไปทำมัย   ตอบแบง่ายๆซื่อๆว่า ..... “ทำมาตั้งแต่ดั้งเดิม”   จุก...ๆๆๆๆ

นอกจากนี้แล้วปัญหาความมั่นคงทางการเมื่องที่หามีไม่   ทำให้ต่างชาติต้องทบทวนการมาลงทุนในประเทศไทย  โดยดูได้จากการลงทุนโดยตรง     ปี 2021: FDI อยู่ที่ประมาณ 15.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ ปี 2023: ลดลงอย่างมากเหลือเพียง 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ​   ( https://www.macrotrends.net/)

 

4. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์  เราคุยกันเรื่องรถไฟรางคู่ จำไม่ได้ว่าเริ่มในปีใดแต่พอเค้าลางได้ว่า ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ตอนนี้ก็เป็น สว. แล้วน่าจะยังสร้างไม่ถึง  ครึ่งหนึ่งของเส้นทางรถไฟทั้งหมด (ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง)   ยิ่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าให้สร้างถนนลูกรังให้หมดไปก่อน  วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ช่วง กทม โคราช ไปถึงไหน  นี่เห็นว่าบริษัทผู้รับเหมาเป็นบริษัทเดียวกับที่สร้างตึก สตง.  หรือเปล่า ?  แล้วระบบขนส่งเราจะสะดวก รวดเร็ว  ประหยัดไปได้อย่างไร   คงต้องรอหลานเรียนจบปริญญาก่อนก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือไม่

6. โครงสร้างประชากรและสังคมไทย  ที่ ณ.ปี 2567 เรามีผู้อายุ 60 ขึ้นไป  13.0 ล้านคน คิดเป็น 16.07% ของประชากรเรียกได้ว่าเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์นั่นเอง  และหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าจำนวนประชากรของเราลดลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาติดลบทุกปี   คือคนตายมากกว่าคนเกิดรวมสี่ปีระหว่างปี 2564-2567  ประชากรเราติดลบไป   270,398 คน  ดังนั้น  อีก  16-20 ปีข้างหน้าประชากรในวัยทำงานจะลดลง  3 แสนคนเช่นเดียวกัน ???  ประเด็นนี้ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ในขณะที่แรงงานลดลง  อันอาจจะมีผลต่อผลผลิตของประเทศทั้งด้านเกษตรกรรม และ อุตสาหกรรมนั่นเอง

6.. ความสามารถในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก  ซึ่งหมายถึงโลกกำลังเปลี่ยนแปลงแต่ประเทศไทยปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง    นักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่เรียกว่าเอสเคิรฟ์นั้น   ต้องการแรงงานทางสายวิทยาศาสตร์ที่เราผลิตไม่พอ  หรือมีคุณภาพไม่เพียงพอ   นอกจากนี้แล้วการปรับตัวต่อระบบการค้า และแนวโน้มในเรื่อง  ESG (Environment, Social, Governance) เรายังตามหลายประเทศไม่ทัน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อธรรมาภิบาล

อีกทศวรรษตหน้า หรืออย่างมากก็สองทศวรรษต  ผมก็อาจจะจากลาไปแล้วคงไม่มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...