วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

“อย่าเพียงแค่หลักการ”

รายงานยอดการส่งออกเดือนมกราคม 2552 และGDP ไตรมาสที่สามก็เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายคาดการณ์นั่นก็คือติดลบอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยลง แต่สิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาดก็คือมันแย่กว่าที่คิดประมานไว้ ทำให้นายกและครม.ต้องกุมขมับกันอยู่จากเดิมที่เชื่อว่าไตรมาสสามจะฟื้นตัวและไตรมาสที่สีจะกลับมาเป็นบวกได้ ตอนนี้ชักจะเชื่อแล้วว่าGDPปี 52 นี้คงไม่เป็นบวกแต่ว่าจะลบเท่าไหร่ให้น้อยที่สุด ซึ่งก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องจะต้องไปหาวิธีการแก้ไขที่นับวันโจทย์ข้อนี้(ซึ่งเป็นโจทย์ของทุกประเทศ) จะแก้ไขได้ยากขึ้นทุกทีเพราะว่าครั้งนี้แม้บ้านเราไม่ได้ไฟไหม้เหมือนเมื่อปี 2540 ซึ่งตอนนั้นเราแย่มากๆเลยทุกท่านคงยังจำได้ดี แต่เราก็ต้องกู้หนี้ยืมสินมาสร้างบ้าน สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักรและค่อยผลิตสินค้าขายมาใช้หนี้และปลดหนี้ได้ในที่สุด เพราะว่าครั้งนั้นเพื่อนบ้านทั้งหลายโดยเฉพาะอเมริกา ยุโรป จีน ยังอู้ฟู้อยู่ก็มีเงินมาซื้อสินค้าของเรา แต่นี้พี่เบิ้มทั้งหลายมีปัญหาไปหมดและไม่มีปัญญามาซื้อของเราเหมือนเดิมก็จะทำให้เศรษฐกิจเราดิ่งเหวตามโลกใบนี้ไปด้วย เพราะเราพึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวเป็นขาหลักของเศรษฐกิจสองขานี้เดี้ยงก็ทำให้เราทรุดไปด้วย ลองดูประเทศเพื่อนบ้านเราที่กระทบน้อยๆเช่นพม่าและลาวไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่เพราะพึ่งเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก (แต่ก็ไม่ก้าวหน้าเพราะขาดการลงทุนจากต่างประเทศและส่งออก) ซึ่งมิได้ให้เราเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องบูรณาการให้มีน้ำหนักที่เหมาะสมในทุกๆด้านเพราะการเจริญเติบโตทางเศรษฐ,กิจมีขาหรือเครื่องจักรอยู่สี่ตัวหลัก คือ 1. การบริโภคภายในประเทศซึ่งรวมถึงการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวมาจับจ่ายใช้สอในประเทศของเรา 2.การลงทุนภาครัฐ ทั้งสาธารณูประโภค และรายจ่ายของรัฐทั้งหลาย 3.การลงทุนภาคเอกชนทั้งของคนไทยเองและการลงทุนจากต่างประเทศ 4.การนำเข้าลบด้วยการส่งออก เพราะเครื่องยนต์ทั้งสี่นี้มีความสัมพันธ์และเกื้อกูลกันจึงต้องประสานและสร้างสมดุลย์กันให้เหมาะสมหากเครื่องใดมีปัญหาก็ยังใช้เครื่องที่เหลือขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้
เราเห็นรัฐบาลออกมาตรการต่างๆมามากมายตลอดจนมีหลักการต่างๆที่ประชาชนคนไทยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามันจะช่วยอะไรได้ เพราะว่ารัฐเองขาดการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปหรือจะทำแล้วจะได้อะไร ตัวอย่างเช่นเงินสองพันบาทที่แจกให้กับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท มันจะไปช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร ต้องออกมาอธิบายว่าเงินจำนวนนี้ก็จะนำไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้า อาหาร ฯลฯ โรงงานก็จะผลิตสินค้า ต้องไปซื้อวัตถุดิบ ต้องใช้แรงงาน ต้องใช้พลังงาน ฯลฯ โรงงานก็จะไม่ต้องปลดพนักงาน สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ก็จะทำให้รัฐเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคลจากบริษัทได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมั่นคงได้ ถ้าจำได้โฆษณาธนาคารกรุงไทยในยุคไอเอมเอฟที่ซื้อปลากระป๋องแล้วทำให้วงจรธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ แต่ยุคนี้เอาประชาชนนั่งเรื่อและมีตะเกียงดูแล้วไม่เข้าใจจริงๆมันเป็นแอบสแตรคดูแล้วต้องคิดแถมคิดไม่ออกอีกชาวบ้านจะเข้าใจได้อย่างไร แล้วมีนักศึกษาหลายคนถามผมว่าถ้าผมเป็นนายกจะทำอย่างไรบ้าง (ก็เคลิ้มดีนะให้เราฝันเป็นนายก แต่เราก็เป็นอยู่แล้วนายกสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยงัย) ก็เลยอยากจะนำเรื่องที่ตอบนักศึกษาไปในวันนั้นมาเล่าสู่กันฟังว่าถ้าผมเป็นนายกผมจะไม่เป็นเจ้าหลักการ ตอบแต่เรื่องของหลักการ ตอบสิ่งที่เป็นนามธรรม ต้องตอบและทำแบบว่าจะทำอะไร แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทำอย่างนั้น และหากไม่ทำจะมีผลเสียอย่างไร ก็จะขอลองเล่าให้ดูซักสองสามเรื่องดังนี้นะครับ
เรื่องแรกที่ผมจะทำคือเงิน ประมาณ 20,000 ล้านบาทที่ให้ผู้ประกันตนคนละสองพันบาทนี้ ผมจะนำมาจ้างคนที่ถูกเลิกจ้างานซึ่งคำนวณง่ายว่าถ้าจ้างคนละสองร้อยบาทต่อวัน เดือนละ 6,000 บาท เป็นเวลาหนึ่งปี จะสามารถจ้างงานได้ถึง 277,777 คน ซึ่งคนเหล่านี้จะไม่ไปเป็นปัญหาของสังคมที่ต้องเป็นโจรเป็นขโมย หรือขายยาบ้า และต้องนำไปซื้อของที่จำเป็นแก่การดำรงชีพ (เพราะไม่มีปัญญาไปฟุ่มเฟือย) ต้องไปซื้อปลากระป๋อง เสื้อผ้า จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าแจกคนในระบบประกันสังคมซึ่งส่วนหนึ่งคงเก็บเงินไว้และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตกงาน แล้วให้คนสองแสนเจ็ดนั้นไปสร้างผลผลิตอะไรก็ได้เช่น ช่วยเจ้าหน้าที่จราจร ช่วยเป็นสายตรวจ เจ้าหน้าทำความสะอาด ช่วยครูธุรการในโรงเรียน(แล้วให้ครูไปอบรม สอน ลูกศิษย์ให้มากขึ้น) ทาสีป้ายขาวแดงจราจร หรือในต่างจังหวัดก็ให้ขุดลอกคูคลองหนองบึง ฯลฯ (ให้เอาคนตกงานที่โรงงานอยู่ในกทม.และปริมณฑล กลับบ้านเกิดสร้างงานในบ้านเกิดแถมลดความแออัดในเมือง ได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัวพ่อแม่อีกต่างหาก ) ก็จะสร้างเศรษฐกิจพร้อมกับแก้ปัญหาสังคมไปในตัว
เรื่องที่สองเงินที่จะให้กับกำนันผู้ใหญ่บ้าน สารวัตกำนัน แพทย์ประจำตำบล ที่เพิ่มอีกเดือนละ 5,000 บาท (ซึ่งเป็นการเพิ่มตลอดไป) ซึ่งมีอยู่สองแสนคนก็ตกเดือนละ 1 พันล้านบาท เอามาจ้างคนตกงาน คนที่ไม่มีงานทำซึ่งถ้าจ้าง 6,000 บาท (คิดตามอัตราแรงงานเฉลี่ย 200 บาทต่อวัน) จะจ้างได้ถึง 166,666 คน รวมเงินสองก้อนนี้แล้วจ้างคนได้ถึง 444,443 คน ก็ใกล้เคียงกับจำนวนการคาดการณ์ผู้ตกงานในปัจจุบันที่มีประมาณ 5 แสนคน แล้วคนเกือบห้าแสนคนนี้ก็นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยธุรกิจก็หมุนเวียนแบบโฆษณากรุงไทยงัยแถมแก้ปัญหาสังคมได้อีกโสตหนึ่งด้วย ทำให้โรงงานธุรกิจไม่ต้องปลดคนที่คาดว่าถึงปลายปีจะมีถึง 1 ล้านคน
เรื่องที่สามการท่องเที่ยวมันแย่อยู่แล้วเพราะว่านักท่องเที่ยวขาดกำลังซื้อแถมพันธมิตรดันไปปิดสนามบินเราเห็นเป็นเรื่องสนุกหรือไม่ร้ายแรงแต่นักท่องเที่ยวเค้าไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ ไปดูได้เลยว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมเป็นอย่างไรใครได้ถึง 50 % ก็สุดยอดแล้วครับ ผมเพิ่งไปพักที่โอเรียลเต็ลดาราเทวีเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อก่อนไม่ยินดีต้อนรับคนไทยเท่าไหร่เต็มตลอดแถมราคาก็สูงเสียดฟ้าตอนนี้อัตราเข้าพักแค่ 30 % เลยต้องหันมากราบกรานคนไทยให้ไปเที่ยวห้องดีลักซ์สวีทรวมภาษีและค่าบริการแล้วหมื่นบาทมีทอน เลยขอไปนอนห้องสวีทกับเค้าซักครั้งนึงตายไปจะได้คุยกับยมพบาลได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศรัฐไปงดเก็บวีซ่านักท่องเที่ยว อันนี้มันเป็นแค่น้ำจิ้มแค่หยดเดียว (แถมงดเก็บแค่สามเดือนเท่านั้น) ผมถามง่ายๆว่าถ้าเรามีปัญญาซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเมืองนอกนั้นค่าวีซ่าซัก 1,000 บาทเป็นปัญหาหรือทำให้เราตัดสินใจงดการเดินทางหรือไม่ ทำไมเราไม่คิดการณ์ใหญ่และเกิดมรรคผลอย่างเช่น คน 300,000 คนที่ติดอยู่สุวรรรภูมิตอนพัธมิตรปิดสนามบินเราส่งตั๋วเครื่องบินไปให้ฟรีฟรี แถมห้องพักฟรีอีกหนึ่งคืน เพราะอะไรหรือครับเพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้คุณเดือดร้อน อ้าวแล้วการบินไทยไม่เจ๊งเหรอไม่เจ๊งหรอกครับเพราะเราสามารถกำหนดได้ว่าแต่ละเที่ยวบินจะให้กี่ที่นั่งเช่นซัก 20 ที่นั่งเพราะทุกวันนี้ทุกไฟลท์ที่นั่งว่างไม่ต่ำกว่า 20 -30 % ถึงยังไงไฟลท์นั้นก็ต้องบินอยู่แล้วจริงมั๊ยไม่ว่าจะมีตั๋วฟรีนี้มาขึ้นหรือไม่ แล้วโรงแรมไม่เจ๊งเหรอไม่หรอกครับเพราะมีแต่ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายอื่นๆเท่าเดิมจริงหรือเปล่าแล้วคนบินมาตั้งหลายชั่วโมงเค้าพักแค่คืนเดียวเหรอก็คงต้องต่ออีกซักคืนสองคืน แล้วต้องกิน ต้องเดินทาง ต้องซื้อของมั๊ย ผมลองไปดูตัวเลขค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทย ใช้เฉลี่ย 4,127 บาท/คนต่อวัน อัตราการเข้าพัก 9 คืน ลองคำนวณดูนะครับว่าถ้าคน 300,000 คน(ซึ่งไม่น่าจะเดินทางคนเดียวหากเราให้ตั๋วฟรีเค้าอาจชวนเพื่อนหรือแฟนมาด้วยก็เหมือนกับลดค่าตั๋ว 50% นั่นแหละ) คิดแค่สามเสนคน พักไม่ต้องเก้าคืนหรอกขอแค่ 4 คืนและใช้คนละ 3,000 บาท/วัน จะเกิดมูลค่ารวม 3,600 ล้านบาทถ้าครึ่งหนึ่งในนั้นชวนเพื่อนหรือแฟนมาด้วยก็จะมีรายได้เข้าประเทศ 5,400 ล้านบาท แล้วถ้าพัก 9 คืน และใช้ 4,100บาทต่อวันละ ก็จะมีรายได้เข้าประเทศ 11,124 และ 16,686 ล้านบาทตามลำดับ แถมทำให้คนไทยไม่ตกงานทั้งภาคบริการ และอุตสาหกรรมต่างๆเพราะว่าคนสามหรือสี่แสนห้าคนนี้จะจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยเราทำให้เกิดการหมุนเวียนเหมือนโฆษณากรุงไทยอีกแล้ว สงสัยต้องไปเก็บค่าประชาสัมพันธ์ที่ธนาคารกรุงไทยซะแล้ว ดังนั้นอย่าเพียงแต่เจ้าหลักการขอวิธีการที่ทำได้หน่อยเถอะและอย่าคิดแค่การใช้เงินจะหาเงินอย่างไรโดยกู้เงินน้อยที่สุดที่สำคัญคนไทยที่มีเงินยังมีอีกเป็นจำนวนมากทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นใช้เงิน ที่สำคัญมีอารมณ์ที่จะใช้เงินนั้นนั่นเอง......................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...