วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“แรงบันดาลใจ”


ในวันที่ผมเขียนบทความนี้ปรากฏว่าหวัด2009คร่าชีวิตคนไทยไปแล้ว 16 คน และเชื่อเหลือเกินว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเพราะว่าดูแนวทางการทำงานของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้ว บอกตรงๆว่าหน่อมแน้มเอาแต่เยี่ยมโรงพยาบาล แจกหน้ากาก ฯลฯ ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเอาแต่งานจ๊อบ มันน่าจะระดมสมองและออกมาตราการ หนึ่งสองสาม ฯลฯ ออกมาแบบจับได้จนนายกอภิสิทธิ์ต้องออกโรงเองจนมีมาตราการปิดโรงเรียนกวดวิชาสิบห้าวัน (แค่มาตราการเดียว) ก็ไม่น่าจะหยุดมหันตภัยได้เพราะมันไม่ครบวงจรก็เลยหดหู่กับวีธีการทำงานของภาครัฐจริงๆ ทั้งที่หน่วยงานเอกชนทั้งหลายเค้าปรับตัว เช่นโรงภาพยนต์ก็มีการทำความสะอาดและฉีดยาฆ่าเชื้อทุกรอบ มีแอลกอฮอล์เหลวไว้บริการ ฯลฯ การรับมือกับหวัดพันธ์นี้ต้องทำครบวงจรครับท่านมัวแต่รีๆรอๆคนไทยตายอีกหลายสิบแน่ ตอนนี้เป็นอันดับห้าของโลกแล้วเมื่อนับจำนวนผู้เสียชีวิต มันน่าจะออกมาตราการเด็ดขาดหลายๆมาตราการมาปราบให้อยู่เพราะอีกไม่นานก็เข้าฤดูท่องเที่ยวแล้ว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไหนจะมาถ้ามีคนไทยติดเชื้อเพิ่มวันละเกือบสองร้อยตายวันละคนสองคน ดูที่ญี่ปุ่นซิครับเค้าติดหวัดก่อนเราอีกแต่เค้าหยุดการแพร่กระจายให้แคบลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งๆที่ความฉลาดเราไม่ด้อยกว่าเค้าเท่าไหร่แต่ที่ต่างคือ “ไม่กล้าตัดสินใจ” ต่างหาก
ในการตัดสินใจครั้งหนึ่งๆโดยเฉพาะอย่ายิ่งการตัดสินใจนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะในทิศทางใดๆก็ตาม จะต้องมีเหตุแห่งการตัดสินใจนั้นๆตามที่พระท่านว่า “ผลย่อมเกิดจากเหตุ” เช่นนั้นนั่นเอง และหากการตัดสินใจนั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแล้วละก็ต้องมีเหตุที่มีระดับความรุนแรงหรือมีนัยยะที่เราเรียกว่า “แรงบันดาลใจ” INSPIRATION เพราะแรงบันดาลใจจะก่อให้เกิดการกระทำซึ่งหากแรงบันดาลใจไม่เพียงพอแล้วการกระทำนั้นก็จะล้มเหลวไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือความต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นนั่นเอง ถ้าใครได้มีโอกาสได้ชมรายการทางทรูวิชั่นข่องสิบหก Hallmark ในรายการ BIGGEST LOOSER ซึ่งเป็นการเอาคนอ้วนๆ(ขอบอกว่าอ้วนมากๆ) ขนาดร้อยสองร้อยปอนด์ขึ้นไปถึงสี่ร้อยปอนด์ก็ประมาณ หลักร้อยกิโลถึงสองร้อยกิโลกรัมเลยเอามาเข้าค่ายและฝึกออกกำลังและแข่งขันกันใครจะสามารถลดได้มากกว่ากันโดยคิดเป็นเปอร์เซนต์ โดยมีรางวัลที่หนึ่งเป็นเงินถึง 250,000 เหรียญ หรือประมาณ 8.5 ล้านบาท ใครเลยจะเชื่อว่าคนเราจะลดน้ำหนักได้ถึงกว่า 50% โดยคนทีได้ที่หนึ่งสามารถลดได้มากกกว่า 200 ปอนด์ คือลดได้เกือบ 100 กก.จากคนที่เดินก็แทบจะไม่ไหวเข้าค่ายมาใหม่ๆก็มีความท้อแท้และเกือบจะถูกคัดออกก็หลายครั้ง แต่ด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจทำให้เค้าต่อสู้กับความล้า ความเมื่อย ความเหนื่อย และฝ่าฝันจนได้รับรางวัลที่หนึ่งซึ่งแน่นอนเงินรางวัลคงเป็นแรงจูงใจอันหนึ่งแต่ตามที่เค้าให้สัมภาษณ์ในรายการคือกำลังใจจากครอบครัว และแรงบันดาลใจที่จะมีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตปกติกับครอบครัวและอยู่กับครอบครัวไปได้นานๆเป็นสำคัญ หลังออกจากรายการแล้วเค้าก็ยังรักษาสถานะและหุ่นด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจนถึงทุกวันนี้ หากถามว่าเราจะสร้าแรงบันดาลใจได้อย่างไรไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน การสร้างสรรค์ผลงาน หรือแรงบันดาลใจในการดำรงตน แรงบันดาลใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันเป้นความเคยชินของเราเอง สามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ ก็เลยอยากเอาหลักคิดมาแลกเปลี่ยนกันจากต้วอักษร INSPIRE ดังนี้
I=Impact คือต้องรู้ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรถ้าทำหรือไม่ทำสิ่งนั้น เช่นถ้าต้องการลดน้ำหนักก็ต้องรู้ว่าถ้าลดแล้วสุขภาพดี หรือไม่ลดแล้วจะเกิดโรคต่างๆมากมาย คือต้องรู้และยอมรับว่ามันมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญ แต่หากคิดว่าน้ำหนักเกิดนิดหน่อยไม่เป็นไรก็จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือการสูบบุหรี่ก็เหมือนกัน หรือการจะสร้างแผนธุรกิจใหม่ๆก็เหมือนกัน บางองค์กรก็เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นมิฉนั้นองค์กรก็อยู่ไม่ได้ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจ ดังนั้นถ้าผลกระทบมากก็จะทำให้เกิดการกระทำมาก เช่น ถ้าไม่ลดน้ำหนักจะอยู่ได้อีกสามเดือนใครจะอยากอยู่แค่สามเดือนจริงป่าวครับ
N=Noting loss ไม่มีอะไรเสีย คือถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรเสียไปมากกว่านี้แล้วเพื่อน ดังนั้นจงทำเสียเดี๋ยวนี้ เช่นการสูบบุหรีถ้าเราลองหยุดวันนี้แล้วเรามีอะไรเสียหายหรือไม่ คำตอบคือไม่มีอะไรเสียไปมากกว่านี้แล้ว ดังนั้นจงหยุดสูบเสียแต่เดี๋ยวนี้
S=Stimulate ต้องมีสิ่งเร้ามากระตุ้น เช่นการจะทำให้เพื่อนร่วมงานมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกัน ก็ต้องกระตุ้นให้เค้าได้มีเพื่อน มีทีม และได้มีโอการ่วมในการแสดงความคิดเห็น มีโอกาสร่วมในความสำเร็จ และหากผลงานเป็นความสำเร้จก็อย่าลืมแชร์ความสำเร้จให้เค้าด้วย เพื่อที่เค้าจะได้ภาคภูมิใจไปกับความสำเร็จนั้น หากเก็บความสำเร้จไว้ที่เรา หรือหัวหน้าคนเดียวอีกหน่อยก็ไม่มีใครทำงานด้วยหรอกครับเจ้านาย หรือสิ่งเร้านั้นอาจจะเป็นรางวัลที่จับต้องได้หรือเกียรติยศก็ได้ครับ เพราะเราเองก็ยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการสิ่งตอบแทนอยู่ดีนั่นเอง เรียกว่ายังละกิเลสไม่ได้หมดหรอกโยม
P=Pratic ฝึกฝนครับ การสร้างแรงบันดาลใจฝึกฝนได้ครับ มนุษย์เราไม่ได้เป็นอะไรมาตั้งแต่เกิดหรอกครับ อยู่ที่การฝึกฝน หากมีลูกน้องก็ลองให้ลูกน้องฝึกบ่อยๆนะครับ หรือหากท่านเป็นเจ้านายก็ลองฝึกตัวเองอยู่เสมอๆนะครับ ไม่ใช่ให้ลูกน้องบอกว่าเป็นเจ้านายเพราะอยู่นาน เพราะการฝึกฝนจะทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตซึ่งแรงบันดาลใจนั้นจะมีจุดมุ่งหมายอยู่เสมอครับ ฝึกไปเรื่อยๆนะครับแล้ววันหนึ่งเราจะเป็นผู้ที่มีความฝันและทำความฝันให้เป็นจริงไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นเรื่องอะไร ทั้งกิจการ งาน ทีม ตลอดจนพฤติกรรมของตนเอง ที่จะพัฒนาไปในทางที่เป็นบวกทั้งต่อตัวท่านเอง ชุมชน กลุ่มสังคม และประเทศชาติในที่สุด
E=Example คือการมีตัวอย่างที่ดี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีบุคคล หรือสถาบันอื่นๆเป็นตัวอย่าง เช่น ถ้าใครอ้วนมากๆ ลองดูรายการ BIGGEST LOOSER ที่ผมกล่าวตอนต้นเป็นตัวอย่าง คนสองร้อยกิโลกรัมลดลงเหลือหร้อยกิโลกรัมได้แล้วทำไมเราแค่ หนึ่งร้อยยี่สิบจะลดเหลือเก้าสิบเก้ากิโลไม่ได้ครับ ดังนั้นลองหาคนเป็นต้นแบบแบบที่วัยรุ่นเค้าเรียกว่าไอดอลนะ อยากเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ก็คงต้องมีนักพูดในดวงใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ฝึกฝนเพื่อให้ฝันนั้นเป็นจริงให้ได้ เพราะโลกนี้คงไม่มีใครที่จะเกิดมาแล้วเก่งไปเสียทุกเรื่องดังนั้น “หาแรงบันดาลใจ” ให้เจอ แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านเสียเพื่อไปให้ถึง “ฝัน และ เป้าหมาย “ ของท่าน แล้ว “ใคร” คือ “ไอดอลของคุณ” มีหรือยังเอ่ย?” ……………

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“เราอยู่ในธุรกิจอะไร” WHAT BUSINESS WE ARE IN ? ? ?



ในที่สุดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็คร่าชีวิตคนไทยไปแล้ว 5 คนในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ทั้งๆที่รมต.สาธารณสุขเพิ่งให้ข่าวว่าโรคนี้ไม่ร้ายแรงรักษาให้หายได้ เลยทำให้ประชาชนนั้นคลายความกังวลลงจนไม่ระมัดระวังเท่าที่ควรหรือเปล่า? คงเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดแล้วมนุษย์โลกก็ต้องปรับตัวและอยู่กับมันให้ได้ในที่สุด เหมือนกับหวัดนก หรือ ซาร์ ที่เคยระบาดเมื่อหลายปีก่อนนั้นจนมีคนถามผมเล่นๆว่าไอ้โรคใหม่นี้เป็นเพราะว่าบริษัทยา หรือบริษัทวิจัยเป็นคนพัฒนาและปล่อยเชื้อมาเพื่อขายยาหรือหวัคซีนเหมือนที่เราเคยดูในภาพยนตร์อยู่บ่อยๆ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดและก็ต้องปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจก็ต้องปรับตัวเองให้อยู่ได้ในทุกสถานการณ์ แต่หากปรับตัวไม่ได้ก็ต้องล้มหายตายจากไป ซึ่งเป็นวัฏฏะของสัตว์โลกนั่นเอง
และในการบริหารธุรกิจให้อยู่รอดได้มันมีคำถามหนึ่งว่า “เราอยู่ในธุรกิจอะไร” ถ้าเราตอบได้ว่าเราอยู่ในธุรกิจอะไร และขอบข่ายของธุรกิจนั้นคืออะไรก็เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพและเป้าหมายของธุรกิจ ที่สำคัญจะเห็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายขององค์กรได้อย่างแท้จริง หากเราตอบว่าเราอยู่ในธุรกิจอย่างแคบซึ่งก็คือเฉพาะสินค้าที่เราดำเนินกิจการอยู่ก็จะไปปิดกั้นโอกาสทางธุรกิจอื่นๆที่สามารถใช้ศักยภาพ หรือทรัพยากรที่เรามีอยู่ให้กว้างขวางขึ้นได้ อันจะเป็นการต่อยอดธุรกิจ ขยายธุรกิจ ขยายขอบข่ายการบริการ ขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และในที่สุดก็จะก่อให้เกิดผลกำไรในที่สุด ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดที่สุดในกรณีนี้คือ “บริษัทไปรษณีย์ไทย” ซึ่งถ้าหากให้คำตอบว่า “อยู๋ในธุรกิจไปรษณีย์ / รับส่งจดหมาย” แล้วละก็วันนี้องค์กรนี้จบเห่แน่นอน เพราะปัจจุบันจำนวนคนที่ส่งจดหมายมีน้อยลงทุกวัน อันเป็นผลมาจาก การติดต่อสือสารกันในปัจจุบันเปลี่ยนไปเป็นการติดต่อทางอีเลคโทรนิค เช่น e-mail / โทรศัพท์มือถือ / แฟกซ์ ฯลฯ ที่สะดวก รวดเร็ว ประหยัด และเป็นการสื่อสารสองทาง สามารถเห็นหน้าตากันได้ ฯลฯ แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่ายอดขายตราไปรษณียากรเพิ่มมากขึ้นจากที่ปี 2546 ยอดขาย 200 กว่าล้านบาท เพิ่มเป็น 1,265 ล้านบาทในปี 2551 ถามว่าทำไมยอดขายจึงเพิ่มขึ้นในขณะที่การติดต่อสือสารทางจดหมายไปรษณีย์ลดลงทุกวัน เพราะเค้าไม่ได้จำกัดว่าแสตมป์จะต้องเอาไว้ส่งจดหมายเท่านั้น แต่เค้าทำให้ แสตมป์เป็น “สิ่งสะสม” รวมทั้งการนำเอานวตกรรมมาใส่ลงไปในแสตมป์ เช่น กลิ่นหอม หรือแค่จัดทำสแตมป์ชุดพระเครื่องเบจภาคี แสตมป์สามมิติ แสตมป์ที่เป็นรูปของตนเองหรือครอบครัว และล่าสุดเพิ่งเปิดตัว แสตมป์ออนไลน์ที่เป็นส่วนตัวท่านสามารถนำภาพของท่านมาทำเป็นแสตมป์ได้ หรือการทำแสตมป์”อักษรเบล” และแน่นอนที่สุดกระแส “แพนด้า” ไม่ถึงอาทิตย์ที่แพนด้าน้อยเกิดขึ้นก็มีแคมเปญชิงโชคตั้งชื่อแพนด้ากันเพราะว่า ไปรษณีย์ไทยจับกระแสได้โดยพิมพ์ไปรษณียบัตรถึง 150 ล้านใบๆละ 5 บาท รายได้ 750 ล้านบาทเชียว โดยมีของรางวัลจูงใจก็นั่บว่ามากโขอยู่งานนี้กำไรไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาทแน่ๆ แถมกระบวนการขายนอกจากตามที่ทำการไปรษณีย์แล้วยังให้บุรุษไปรษณีย์ขายตรงอีกด้วยคนที่ไม่รู้เรื่อง หรือไม่สนใจพอถูกกระตุ้นก็มักจะไม่พลาดยอดขายจะน้อยหรือมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัดซึ่งเป็นสังคมที่บุรุษไปรษณีย์รู้จักเกือบจะทุกคนในหมู่บ้าน ผมเองไปบรรยายให้พนักงานไปรษณีย์ฟังเกี่ยวกับแนวคิดการตลาด และการขายสินค้าในช่วงนั้นเป็นเทศกาลฟุตบอลโลกก็นับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติว่าบุรุษไปรษณีย์มีหน้าที่ส่งจดหมายแต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้แล้วไปรษณีย์ไทยยังอาศัยที่ว่ามีที่ทำการอยู่ในทุกอำเภอในประเทศไทยก็อาศัยมุมมองว่า ตนเองอยู่ในธุรกิจ “ขนส่ง “ แถมมีศูนย์บริการทั่วประเทศมากกว่าองค์กรใดๆในประเทศไทยก็เลยเกิดการขนส่ง เครื่องใช้ไฟฟ้าเพราะไหนๆก็มีรถต้องส่งจดหมาย สิ่งพิมพ์ไปยังทั่วประเทศอยู่แล้วนี่นา เร็วๆนี้ก็เปิดบริการรับส่งอาหารชื่อดังทั่วประเทศไทยแถมส่งได้อย่างรวดเร็วเสียด้วย ตอนนี้อยากกินแหนมจากร้านแดงแหนมเนือง หรือ น้ำพริกหนุ่มร้าสนัสนันท์ ก็เพียงยกหูโทรไป 1545 คอลเซ็นเตอร์ของไปรษณีย์ไทยได้เลย หรือจะโดยสั่งผ่านทางเว็บไซต์ จ่ายเงินทาง mPay ก็ได้อะไรจะสะดวกสบายปานนั้นโฆษณาให้พรีๆนะนี่ เท่านั้นยังไม่พอยังเป็นที่จัดจำหน่ายและรับจ่ายเงินต่างๆโดยอาศัยศักยภาพของที่ทำการไปรษณีย์ไทยที่มีเน็ตเวิรค์อยู่ทั่วประเทศเป็นจุดแข็งในการรังสรรค์บริการนี้ เช่น ขายตั๋วของไทยทิกเก็ตมาสเตอร์(แต่ไม่ทุกที่ทำการ) รับเช่าพระ ชำระค่าน้ำไฟโทรศัพท์ ประกันชีวิต ฯลฯ รับฝากถอนเงินให้กับธนาคารต่างๆเช่นธนชาติเป็นต้น ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ทำให้ผลประกอบการจากการขาดทุนเป็นพันล้านบาทในปี 2546 มาเป็นกำไรถึง 1,785 ล้านบาทในปีที่ 2551 ที่ผ่านมา เพราะว่าตอบโจทย์ถูกว่า “เราอยู่ในธุรกิจอะไร” นั่นเอง แล้วท่านผู้อ่านละครับตอบโจทย์ของตัวเองได้แล้วหรือยัง

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...