“อลังการ์งานสร้างของกวางเจาแฟร์”
ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ม.เกษตรศาสตร์
มีคนเคยเล่าให้ฟังว่างานกวางเจาเทรดแฟร์ยิ่งใหญ่จริงๆเพราะมีการจัดถึง 3 เฟส และแต่ละเฟสก็ยิ่งใหญ่อลังการ์สมกับฐานะของประเทศจีนจริงๆ แต่ก็ไม่เคยไปซักทีหนึ่งปีนี้เป็นการจัดเป็นครั้งที่ 106 นับเป็นปีที่ 53 เพราะว่าจัดปีละสองครั้งซึ่งปีนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้พานักศึกษา MBA ของมหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิไปดูงาน ซึ่งการจัดงานแฟร์นี้นับว่าใหญ่โตสมคำร่ำลือจริงๆเพราะว่าถ้าจะให้เดินดูทั้งหมดคงต้องใช้เวลา 3 วันเอาแค่เฉี่ยวๆนะ คาดว่าตลอดงานจะมีชาวต่างชาติเข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 5 แสนคนเมื่อรวมกับชาวจีนจากเมืองอื่นๆคงไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย ลองตามมาดูกันนะครับว่านกแต่ละตัวหมายถึงอะไร
นกตัวที่หนึ่งซึ่งเป็นผลจากการจัดงานโดยตรงก็คือสามารถทำให้ผู้ผลิตในจีนสามารถขายสินค้าได้ ทั้งขายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศเพราะมีผู้ซื้อจากต่างประเทศมาถึง 5 แสนคนซึ่งจากตัวเลขยอดค้าขายระหว่างงานปี 2008 ที่ผ่านมา มียอดถึง 69,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา เท่ากับประมาณ 2.3 ล้านล้านบาทครับผม มากกว่างบประมาณของรัฐบาลไทยสองปีพอดีเลย นี่ไม่รวมทั้งการสั่งซื้อขายหลังจากงานจบแล้วเพราะว่าเป็นงานที่นักธุรกิจต่างชาติเดินทางไปดูและเลือกซื้อสินค้าที่ผมเชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก สถานที่จัดงานถ้านับพื้นที่แสดงสินค้าแล้วก็นับได้ว่าขนาดประมาณ 5 เท่า ของอิมแพคเมืองทองธานีทุกฮอล์รวมกันนะครับ คงจินตนาการออกว่ามันจะใหญ่ขนาดไหนนะครับ ขนาดที่ว่าร้านแมคโดนัลต้องมีเคาท์เตอร์ประมาณ 30 เคาท์เตอร์ต้องเข้าคิวรอนานมากกว่าจะได้กิน นี่ขนาดว่าแต่ละฮอลล์ย่อยก็มีร้านอาหารอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ผมลองแวะแบบละเอียดสามสี่บู๊ทมีอยู่รายหนึ่งทำสินค้าไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี คือมันเป็นรูปทำด้วยโลหะขนาดประมาณเอ 4 คล้ายๆกับที่เราเห็นอยู่ในร้านเหล้า ร้านอาหารสมัยเก่าในหนังฝรั่ง เป็นภาพโฆษณาบ้าง เป็นคำขวัญบ้าง ฯลฯ ลองทายซิครับว่าราคาเท่าไหร่จ้างก็ทายไม่ถูก แค่ 0.53 เหรียญ ประมาณ 17 บาทบ้านเราเองแค่ค่าโลหะที่นำมาผลิตก็คงเกินแล้วไม่รู้ว่าเค้าขายได้อย่างไรครับ
นกตัวที่สองที่เป็นผลพลอยได้อย่างมหาศาลก็คือค่าใช้จ่ายที่นักธุรกิจเดินทางไปชมงาน ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน (อาจจบินสายการบินจีนบางส่วน) ค่าโรงแรม ค่าอาหาร ช๊อปปิ้ง ค่าบันเทิง ส่วนหนึ่งก็จะไปท่องเที่ยวต่อ ซึ่งก็มีบริการทัวร์ในงานไม่ว่าจะไปเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือสถานที่อื่นๆในจีน จากคน 5 แสนคนถ้าใช้คนละ 50,000 บาท 25,000 ล้านบาทครับ ขอบย้ำสองหมื่นห้าพันล้านบาทเป็นอย่างน้อยนะครับ
นกตัวที่สามคงเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่รู้สึกได้หรือสัมผัสได้ก็คือภาพลักษณ์ นักธุรกิจที่เดินทางไปย่อมบอกต่อๆกันไปว่าถ้าจะหาสินค้าไม่ว่าอะไรสามารถมาหาได้ที่ประเทศจีน และถือว่าเป็นวันสต๊อปเลยเพราะไปงานเดียวเจอซัพพลยเออร์นับไม่ถ้วน และถ้ามีเวลาก็ไปดูสินค้าอื่นๆเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจเรียกได้ว่าไปที่อื่นๆก็ดูได้แต่ธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ แต่ไปกวางเจาแฟร์ดูโอกาสทางธุรกิจได้ ผมเองเลยให้โจทย์นักศึกษาไปว่าสมมุติว่าเป็นนักธุรกิจไปเดินดูงานให้มองหาสินค้าที่จะมาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อนำข้อมูลมาทำแผนธุรกิจ ต่อไป ซึ่งก็จะทำให้นักศึกษาได้ฝึกคิดและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ทางตรงที่ว่าเมื่อวันหนึ่งมาถึงพวกเขาจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจในอนาคตได้
และปีหน้า 2010 เซียงไฮ้ ก็จะมีงานเอ็กซ์โปซึ่งคาดว่าจะมีคนเข้าชมงานประมาณ 60 ล้านคน ถ้าใช้จ่ายคนละ 50,000บาท ลองคำนวณรายได้เข้าประเทศซิครับว่าจะเป็นเม็ดเงินซักเท่าไหร่ประมาณว่า 3 ล้านล้านบาทครับ นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่าการบริหารแบบกลยุทธ์ไม่ใช่การบริการแบบ PM ที่ไม่ย่อมาจาก PRIME MINISTER แต่เป็น PODIUM MANAGEMENT ที่บริหารไปวันๆบนโพเดียมคือเอาแต่พูด บริหารอย่างไร้จุดหมายและยุทธวิธีที่จะสร้างานสร้างอาชีพ และนำเงินมาต่อเงินได้ทำให้เศรษฐกิจจีนไม่สะดุดหัวทิ่ม เหมือนอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และไทยแลนด์แดนแห่งสยามเมืองยิ้ม จริงๆแล้วว่าจะเขียน ACADEMY OF BELIVE & HOPE เพราะพวกเราไปจีนเที่ยวนี้นักศึกษารวมอาจารย์ 42 ชีวิตหมดเงินรวมกันแล้วนับล้านบาทเชียวเพราะ BELIVE & HOPE โปรดติดตามตอนต่อไปจร้า................