วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552








“อลังการ์งานสร้างของกวางเจาแฟร์”

ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ม.เกษตรศาสตร์


มีคนเคยเล่าให้ฟังว่างานกวางเจาเทรดแฟร์ยิ่งใหญ่จริงๆเพราะมีการจัดถึง 3 เฟส และแต่ละเฟสก็ยิ่งใหญ่อลังการ์สมกับฐานะของประเทศจีนจริงๆ แต่ก็ไม่เคยไปซักทีหนึ่งปีนี้เป็นการจัดเป็นครั้งที่ 106 นับเป็นปีที่ 53 เพราะว่าจัดปีละสองครั้งซึ่งปีนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้พานักศึกษา MBA ของมหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิไปดูงาน ซึ่งการจัดงานแฟร์นี้นับว่าใหญ่โตสมคำร่ำลือจริงๆเพราะว่าถ้าจะให้เดินดูทั้งหมดคงต้องใช้เวลา 3 วันเอาแค่เฉี่ยวๆนะ คาดว่าตลอดงานจะมีชาวต่างชาติเข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 5 แสนคนเมื่อรวมกับชาวจีนจากเมืองอื่นๆคงไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย ลองตามมาดูกันนะครับว่านกแต่ละตัวหมายถึงอะไร
นกตัวที่หนึ่งซึ่งเป็นผลจากการจัดงานโดยตรงก็คือสามารถทำให้ผู้ผลิตในจีนสามารถขายสินค้าได้ ทั้งขายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศเพราะมีผู้ซื้อจากต่างประเทศมาถึง 5 แสนคนซึ่งจากตัวเลขยอดค้าขายระหว่างงานปี 2008 ที่ผ่านมา มียอดถึง 69,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา เท่ากับประมาณ 2.3 ล้านล้านบาทครับผม มากกว่างบประมาณของรัฐบาลไทยสองปีพอดีเลย นี่ไม่รวมทั้งการสั่งซื้อขายหลังจากงานจบแล้วเพราะว่าเป็นงานที่นักธุรกิจต่างชาติเดินทางไปดูและเลือกซื้อสินค้าที่ผมเชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก สถานที่จัดงานถ้านับพื้นที่แสดงสินค้าแล้วก็นับได้ว่าขนาดประมาณ 5 เท่า ของอิมแพคเมืองทองธานีทุกฮอล์รวมกันนะครับ คงจินตนาการออกว่ามันจะใหญ่ขนาดไหนนะครับ ขนาดที่ว่าร้านแมคโดนัลต้องมีเคาท์เตอร์ประมาณ 30 เคาท์เตอร์ต้องเข้าคิวรอนานมากกว่าจะได้กิน นี่ขนาดว่าแต่ละฮอลล์ย่อยก็มีร้านอาหารอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ผมลองแวะแบบละเอียดสามสี่บู๊ทมีอยู่รายหนึ่งทำสินค้าไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี คือมันเป็นรูปทำด้วยโลหะขนาดประมาณเอ 4 คล้ายๆกับที่เราเห็นอยู่ในร้านเหล้า ร้านอาหารสมัยเก่าในหนังฝรั่ง เป็นภาพโฆษณาบ้าง เป็นคำขวัญบ้าง ฯลฯ ลองทายซิครับว่าราคาเท่าไหร่จ้างก็ทายไม่ถูก แค่ 0.53 เหรียญ ประมาณ 17 บาทบ้านเราเองแค่ค่าโลหะที่นำมาผลิตก็คงเกินแล้วไม่รู้ว่าเค้าขายได้อย่างไรครับ
นกตัวที่สองที่เป็นผลพลอยได้อย่างมหาศาลก็คือค่าใช้จ่ายที่นักธุรกิจเดินทางไปชมงาน ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบิน (อาจจบินสายการบินจีนบางส่วน) ค่าโรงแรม ค่าอาหาร ช๊อปปิ้ง ค่าบันเทิง ส่วนหนึ่งก็จะไปท่องเที่ยวต่อ ซึ่งก็มีบริการทัวร์ในงานไม่ว่าจะไปเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือสถานที่อื่นๆในจีน จากคน 5 แสนคนถ้าใช้คนละ 50,000 บาท 25,000 ล้านบาทครับ ขอบย้ำสองหมื่นห้าพันล้านบาทเป็นอย่างน้อยนะครับ
นกตัวที่สามคงเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่รู้สึกได้หรือสัมผัสได้ก็คือภาพลักษณ์ นักธุรกิจที่เดินทางไปย่อมบอกต่อๆกันไปว่าถ้าจะหาสินค้าไม่ว่าอะไรสามารถมาหาได้ที่ประเทศจีน และถือว่าเป็นวันสต๊อปเลยเพราะไปงานเดียวเจอซัพพลยเออร์นับไม่ถ้วน และถ้ามีเวลาก็ไปดูสินค้าอื่นๆเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจเรียกได้ว่าไปที่อื่นๆก็ดูได้แต่ธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ แต่ไปกวางเจาแฟร์ดูโอกาสทางธุรกิจได้ ผมเองเลยให้โจทย์นักศึกษาไปว่าสมมุติว่าเป็นนักธุรกิจไปเดินดูงานให้มองหาสินค้าที่จะมาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อนำข้อมูลมาทำแผนธุรกิจ ต่อไป ซึ่งก็จะทำให้นักศึกษาได้ฝึกคิดและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ทางตรงที่ว่าเมื่อวันหนึ่งมาถึงพวกเขาจะได้มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจในอนาคตได้
และปีหน้า 2010 เซียงไฮ้ ก็จะมีงานเอ็กซ์โปซึ่งคาดว่าจะมีคนเข้าชมงานประมาณ 60 ล้านคน ถ้าใช้จ่ายคนละ 50,000บาท ลองคำนวณรายได้เข้าประเทศซิครับว่าจะเป็นเม็ดเงินซักเท่าไหร่ประมาณว่า 3 ล้านล้านบาทครับ นี่แหละครับที่เค้าเรียกว่าการบริหารแบบกลยุทธ์ไม่ใช่การบริการแบบ PM ที่ไม่ย่อมาจาก PRIME MINISTER แต่เป็น PODIUM MANAGEMENT ที่บริหารไปวันๆบนโพเดียมคือเอาแต่พูด บริหารอย่างไร้จุดหมายและยุทธวิธีที่จะสร้างานสร้างอาชีพ และนำเงินมาต่อเงินได้ทำให้เศรษฐกิจจีนไม่สะดุดหัวทิ่ม เหมือนอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และไทยแลนด์แดนแห่งสยามเมืองยิ้ม จริงๆแล้วว่าจะเขียน ACADEMY OF BELIVE & HOPE เพราะพวกเราไปจีนเที่ยวนี้นักศึกษารวมอาจารย์ 42 ชีวิตหมดเงินรวมกันแล้วนับล้านบาทเชียวเพราะ BELIVE & HOPE โปรดติดตามตอนต่อไปจร้า................

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552


“ภาวะผู้นำบกพร่อง ????”
ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ
ผู้ทรงคุณวุฒิ ม.เกษตรศาสตร์
อาจารย์พิเศษโครงการปริญญาเอการจัดการกีฬา ม.เกษตรศาสตร์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์กรุ๊ป


วันก่อนได้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่มีผู้อ่านได้เขียนมาบ่นหรือปรับทุกข์เกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหารในองค์กรของผู้อ่านท่านนั้น ดูเหมือนว่าผู้บริหารที่กล่าวถึง(ถ้าเป็นจริง)คงเป็นผู้บริหารที่แค่อยู่นาน(ถ้าเป็นระบบราชการ) หรืออาจจะเป็นเถ้าแก่หรือลูกเถ้าแก่ที่เป็นผู้บริหารเพราะเป็นเจ้าของกิจการเป็นแน่แท้ เพราะข้อหาทั้งหลายล้วนแต่ไม่น่าเชื่อว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆจะเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรนั้นๆได้อย่างไร ก็เลยลองมาทบทวนดูว่าคุณสมบัติที่ดีของผู้บริหาร หรือผู้นำนั้นจะต้องมีคุณสมบัติ หรือแสวงหาคุณสมมาใส่ตัวอย่างไรบ้าง เพื่อที่ว่าพอเป็นผู้นำจริงๆแล้วจะได้ไม่โดนลูกน้องก่นด่ากันลับหลัง
โดยทั่วไปแล้วหากเรามาทบทวนคุณสมบัติในหน้าที่การงานใดการงานหนึ่งก็จะพบว่ามีคุณสมบัติแบ่งออกได้สามกลุ่ม 1.CORE COMPETENCY เป็นคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เฉพาะงาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นที่ที่จะบ่งบอกถึงความรู้ เช่น ตำแหน่งวิศวกรจะต้องจบวิศวะมา นิติกรต้องจบนิติศาสตร์มาเป็นต้น ซึ่งคุณสมบัตินี้ไม่ยากที่จะค้นหาบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งเพราะปริญญาบัตรหรือประสบการณ์ในการทำงานคงเป็นเครื่องบ่งบอกได้ สามารถทดสอบองค์ความรู้ได้ไม่ยากเย็น 2.GENERAL COMPETENCY จะเป็นคุณสมบัติอื่นๆที่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นซึ่งจะทำให้บุคคลๆนั้นได้เปรียบ หรือสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เช่น เคยผ่านการฝึกงานในต่างประเทศ มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์และภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี เป็นต้น ซึ่งก็สามารถทดสอบว่ามีคุณสมบัติดังว่าหรือไม่ 3.SPECIAL COMPETENCY ซึ่งเป็นคุณสมบัติในกลุ่มสุดท้ายที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้การทำงานนั้นประสบผลสัมฤทธิ์ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กร เช่น ดีสนีย์แลนด์ซึ่งมีปรัชญาในการสร้างความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว โดยมีBRAND PROMISฎ ซึ่งเป็นพันธะสัญญาในการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าคือ HAPPY FAMILY ดังนั้นคุณสมบัติในข้อนี้ของดีสนีย์แลนในการรับพนักงานคือต้องเป็น ENTERTAINER เป็นผู้รังสรรค์ความสุขสนุกสนานให้กับทุกคนในครอบครัว
จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติในข้อที่สามซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษจริงๆนั้นเป็นอะไรที่ทดสอบได้ยากตรวจสอบได้อยาก ต้องอาศัยผู้รู้ผู้ชำนาญและแบบทดสอบที่ออกมาเฉพาะโดยนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์ซึ่งในบริษัทใหญ่ๆ หรือบริษัทข้ามชาติจะมีแบบทดสอบชนิดนี้ในการที่จะวัดผลว่ามีคุณสมบัติพิเศษตามที่องค์กรต้องการหรือไม่ วกกลับมาเรื่องภาวะผู้นำกันดีกว่าเพราะจะว่าไปแล้วภาวะผู้นำจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษมากกว่าตำแหน่งอื่นๆ ซึ่งผมขอสรุปตามตัวอักษรของคำว่า LEADER และขยายความเป็นคุณสมบัติของผู้นำดังนี้
L= Language ซึ่งในที่นี้นอกจะหมายถึงภาษาที่ต้องเข้าใจได้หลายภาษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ เพราะโลกทุกวันนี้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล (อนาคตอาจจะต้องมีภาษาจีนอีกภาษาหนึ่ง) แต่ความหมายของภาษาในที่มีนัยที่กว้างมากกว่าความหมายข้างต้น มันครอบคลุมถึงการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับลูกน้อง ไม่ว่าคุณจะพูดได้ 12 ภาษาในโลก แต่คุณไม่สามารถพูด”ภาษาคน” ที่ทำให้ลูกน้องเข้าใจ ไม่สามารถจูงใจให้ลูกน้องปฏิบัติตามได้ก็ปล่าวประโยชน์ เรียกได้ว่าไม่มีศิลปะในการพูด ชักจูงนั่นเอง
E=Esteem ซึ่งก็คือการให้เกียรติยกย่อง ทั้งบุคคลที่สูงกว่าและบุคคลที่ต่ำกว่าเพราะมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การให้เกียรติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำให้เขาเกิดความเกรงใจและเคารพยกย่องเราพร้อมที่จะทำงานให้เราด้วยความเต็มใจ เต็มที่ เต็มเวลา หาไม่แล้วก็จะทำไปแบบแกนๆไม่ได้ใสใจลงไปในงานนั้นถึงแม้งานจะเสร็จสิ้นตามคำสั่ง แต่คุณภาพและจิตวิญญาณของงานนั้นคงหามีไม่ ลองให้เกียรติลูกน้องดูแล้วจะรู้ว่าเกียรติที่เราได้รับคืนมานั้นมันมากมายมหาศาล
A=Atmosphere เป็นการสร้างบรรยากาศในการทำงานผู้นำจะต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ต้องสร้างบรรยากาศในการทำงานให้ลูกน้องนั้นมีความสุขในการทำงาน เช่น บัตรเครดิตกรุงไทย สร้างห้องทำงานให้กับพนักงานเสียสวยหรู ดูมี Lifestyle สมกับวิถีชีวิตของลูกน้อง มีเก้าอี้นวดไว้ผ่อนคลาย ฯลฯ หรือหากเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ลองพาหนักงานไปเที่ยวแดนเนรมิตแล้วปล่อยใจให้ว่างเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนั้นอาจจะแว๊ปความคิดดีๆออกมาก็ได้ใครจะไปรู้
D= Do it closer อยู่ใกล้ชิดกับพนักงานและงานที่ได้มอบหมายไปซึ่งก็คือติดตามงานและดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิดนั่นเอง ไม่ใช่ว่าการทำงานได้แต่สั่งการไม่เคยลงไปดูลูกน้องปฏิบัติงานเลยว่ามีความลำบาก ยุ่งยากแค่ไหน เพื่อที่จะได้หาทางปรับปรุงวิธีการทำงาน หรือสมควรเปลี่ยนเครื่องจักร ฯลฯ เป็นต้น
E=Empower ต้องรู้จักมอบอำนาจ รู้จักไว้ใจลูกน้องให้ลูกน้องได้ตัดสินใจในขอบเขตที่เหมาะสม หากอะไรๆก็ต้องมาให้เราตัดสินใจแล้ว องค์กรจะขับเคลื่อนไปได้ลำบากเหมือ one man show และที่สำคัญเมื่อมอบอำนาจแล้วต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าถ้าลูกน้องตัดสินใจผิดก็ลงโทษให้ตายไปเลยแต่ถ้าหากทำถูกก็กลายว่าเป็นเพราะเรา เรียกได้ว่าอย่า “เอาดีใสตัว(ผู้นำ) เอาชั่วให้คนอื่น (ลูกน้อง) “ อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้นำแบบลูกน้องตายหมด สุดท้ายต้องกินข้าวคนเดียวอย่างเหงาๆและเดียวดาย ต้องทำกลับกัน” เอาดีให้ลูกน้อง หากผิดพลาดต้องรับไว้เอง (เพราะเรามีภูมิคุ้มกันมากกว่า) “
R=Relationship ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ มีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้องทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อย่าคุยหรือมีกิจกรรมกับลูกน้องแค่ในงาน เคยรู้หรือเปล่าว่าลูกน้องตัดผมใหม่ มีตุ้มหูคู่ใหม่ ลูกของเค้าสอบเข้าโรงเรียนสาธิตได้ วันนี้วันเกิดลูกน้อง ฯลฯ ถ้าเราได้ใส่ใจสนใจและตั้งใจแล้วข้อมูลอื่นๆที่จะทำให้เราได้มีปฏิสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการ นอกเวลาทำงาน แล้วก็จะสามารถช่วยให้เราเป็น นายที่มีแต่ลูกน้องรัก เคารพ นับถือ และพร้อมจะทำงานให้อย่างสุดชีวิตอย่างแน่นอน
ลองสำรวจตัวท่านเองดูนะครับว่าเราขาดข้อไหนไป เชื่อว่าคุณสมในสองกลุ่มแรกคือ CORE & GENERAL COMPETENCY คงไม่ขาด แต่อาจจะขาดหรือยังมีไม่ถึงที่สุดในส่วนของ SPECIAL COMPETENCY ก็หาเติมเต็มในตัวท่านเองก็แล้วกันนะครับเพราะคุณสมบัตินี้ไม่มีขายอยากได้ต้องหา(ฝึก)เอาเองครับผม

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

“CREATIVE ECONOMY”


“CREATIVE ECONOMY”
ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ 12 ตุลาคม 2552
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์พิเศษโครงการปริญญาเอการจัดการกีฬา ม.เกษตรศาสตร์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์กรุ๊ป

ต้นเดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่ามาเห็นรัฐมนตรีทำงานเข้าตาและถูกใจก็ตอนที่เปิดตัวโครงการ “CREATIVE ECONOMY” เพราะเพิ่งเห็นว่ารัฐมนตรีทำงานแบบมียุทธศาสตร์ไม่ใช่สักแต่ว่าเดินสายบรรยายและเปิดงานที่เราเรียกกันว่า “PODIUM POLICY” ซึ่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีในบ้านเรามีความชำนาญในเรื่องนี้ แต่พอถามว่ายุทธศาสตร์ของประเทศ หรือของกระทรวงอยู่ที่ไหนทำหน้างงๆแล้วก็อาศัยไหวพริบหลบฉากไปได้ทุกที ดูอย่างโครงการต่างๆของไทยเข้มแข็งประรัยชาวบ้านร้านตลาดไม่เข้าใจมีแต่นักการเมืองเข้าใจว่าจะหาประโยชน์จากโครงการนี้ได้อย่างไร ที่เห็นๆกันอยู่ไม่ว่ากระทรวงสาธารณสุข หรือ กระทรวงคมนาคมสุดท้ายก็เป็นแต่ผลประโยชน์ของนักการเมืองไม่ว่าพรรคใดมาก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย พอเห็นรมต.ช่วยพานิชย์มียุทธศาสตร์เรื่องนี้เลยดีใจจนน้ำตาไหลว่าประเทศไทยคงไปรอดแล้ว แต่ก็ต้องดูก่อนนะว่าแนวทางในการปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไรสอดคล้องและเป็นไปตามยุทธศาสตร์หรือไม่ หรือว่าดีแต่เปิดงานให้ดังๆคนจะได้จำได้แล้วก็ลืมเลือนหายไป อันนี้ต้องติดตามอีกสามเดือนหกเดือนจะเห็นผลว่าเป็นไปตามยุทธศาสตร์หรือไม่
เรื่องเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์หรือธุรกิจเชิงสร้างสรรค์นั้นมันคล้ายกับว่าขายของอย่างเดียวกันแต่คนละแบบ อ่านแล้วคงงงๆนะครับตัวอย่างเช่นการขายกระเป๋าถือถ้าเรานำเอาลิงดูดมือไปใส่หน่อยมันไม่ใช่กระเป๋าถือแต่มันเป็นแฟชั่น หรืออย่างโรงแรมแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ชื่อว่า ลาเวนเดอร์ล้านนา โรงแรมนี้บริหารและบริการโดยเกย์ ถ้าเราตัดอคติในเรื่องเกย์ต้องเป็นเรื่องเซ็กซ์ออกแล้วเราจะเห็นว่าเค้าเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงมากๆ เพราะผู้บริหาร พนักงานบริการ ทุกคนเป็นเกย์ ซึ่งหมายความว่าพูดจาภาษาเดียวกัน มีทัศนคติความเชื่อและวิถีชีวิตคล้ายกันดังนั้นคงจะเข้าอกเข้าใจกันได้ดีกว่าคนที่มีทัศนคติคนละอย่างกัน (ต้องตัดเรื่องเซ็กซ์ออกไปให้ได้) ถ้าท่านได้ไปที่ฮ่องกงแล้วตอนกลางคืนลองไปยืนตรงสุดถนนนาธานที่เป็นท่าเรื่อข้ามฝากซิครับ เค้าจะเอาตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมาเล่นแสงสีส่วนเสียงถ้ามีวิทยุเปิดไปก็จะได้อรรถรสครบครันเลยครับ แค่เอาตึกต่างๆ(ที่สูง) มาประดับไฟและเปิดให้ไฟเปิดปิดกระพริบตามจังหวะและเสียงดนตรีแค่นี้คนก็แห่ไปยืนดูกันมากมาย หรือใครไปมาเก๊าที่มาเก๊าทาวเวอร์นอกจากเป็นจุดชมเมือง มีร้านอาหารหมุนได้แล้ว ยังมีบริการให้กระโดดบันจี้จั๊มสำหรับคนใจถึง แต่หากใจถึงน้อยลงมาหน่อยก็มีบริการพาเดินรอบหอคอยที่ระดับความสูงหลายร้อยเมตรซึ่งก็สร้างความเสียวให้ได้ระดับละครับ ซึ่งผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันเมืองต่างๆในโลกนี้ส่วนใหญ่เค้ามีทาวเวอร์ของตนเองขนาดสุพรรณยังมีเลยก็คงขาดแค่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรของท่านผู้ว่าสุขุมพันธ์นี้แหละ เมื่อไหร่จะมีก็ไม่รู้นะครับ นี่ก็เห็นว่ามีธุรกิจเชิงสร้างสรรค์อยู่ที่เมืองกาญจนบุรีก็เป็นโรงถ่ายหนังที่ใช้ถ่ายเรื่องสุริโยไทยนำมาเปิดให้ประชาชนเข้าชม ก็ได้บรรยากาศแต่ถ้าเพิ่มสีสันเข้าไปอีกสักนิดคงจะเรียกแขกได้อีกมากโขนะครับ ประเทศเกาหลีเป็นตัวอย่างของธุรกิจเชิงสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเกาหลีเค้าพัฒนาไปมาก โดยมีความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรมขายความเป็นเกาหลี แล้วมาต่อยอดเป็นตามรอยภายพยนต์เกาหลีซึ่งเมื่อเราไปดูแล้วไม่มีอะไรเลยจริงๆ เกาะนามิสู้เขาใหญ่ของเราไม่ติด บางแห่งแค่เอาของที่เคยใช้ถ่ายประกอบฉากในภาพยนตร์มารวมกันแล้วให้เราเข้าไปดูก็เก็บตังได้แล้ว ไม่ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนโรงถ่ายสุริโยทัยยังหาตังได้นี่ต่างหากที่เป็นธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งในอัฟริกาใต้เค้าเอาเหมือทองคำที่ปิดไปแล้วมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก็บเงินเก็บทองนักท่องเที่ยวไม่รู้เท่าไหร่รู้สึกว่าจะชื่อ GOLDENLEAF ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เค้าไม่เรียกว่าเป็นการขายสินค้า หรือการขายบริการ แต่เป็น ”การขายประสบการณ์ “ ดังนั้นหาให้เจอ เจอแล้วย้ำ ย้ำแล้วปลุกกระแสแล้วเศรษฐกิจไทยจะไปโลดอย่างแน่นอน.......

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...