วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

“CREATIVE ECONOMY”


“CREATIVE ECONOMY”
ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ 12 ตุลาคม 2552
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์พิเศษโครงการปริญญาเอการจัดการกีฬา ม.เกษตรศาสตร์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์กรุ๊ป

ต้นเดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่ามาเห็นรัฐมนตรีทำงานเข้าตาและถูกใจก็ตอนที่เปิดตัวโครงการ “CREATIVE ECONOMY” เพราะเพิ่งเห็นว่ารัฐมนตรีทำงานแบบมียุทธศาสตร์ไม่ใช่สักแต่ว่าเดินสายบรรยายและเปิดงานที่เราเรียกกันว่า “PODIUM POLICY” ซึ่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีในบ้านเรามีความชำนาญในเรื่องนี้ แต่พอถามว่ายุทธศาสตร์ของประเทศ หรือของกระทรวงอยู่ที่ไหนทำหน้างงๆแล้วก็อาศัยไหวพริบหลบฉากไปได้ทุกที ดูอย่างโครงการต่างๆของไทยเข้มแข็งประรัยชาวบ้านร้านตลาดไม่เข้าใจมีแต่นักการเมืองเข้าใจว่าจะหาประโยชน์จากโครงการนี้ได้อย่างไร ที่เห็นๆกันอยู่ไม่ว่ากระทรวงสาธารณสุข หรือ กระทรวงคมนาคมสุดท้ายก็เป็นแต่ผลประโยชน์ของนักการเมืองไม่ว่าพรรคใดมาก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย พอเห็นรมต.ช่วยพานิชย์มียุทธศาสตร์เรื่องนี้เลยดีใจจนน้ำตาไหลว่าประเทศไทยคงไปรอดแล้ว แต่ก็ต้องดูก่อนนะว่าแนวทางในการปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไรสอดคล้องและเป็นไปตามยุทธศาสตร์หรือไม่ หรือว่าดีแต่เปิดงานให้ดังๆคนจะได้จำได้แล้วก็ลืมเลือนหายไป อันนี้ต้องติดตามอีกสามเดือนหกเดือนจะเห็นผลว่าเป็นไปตามยุทธศาสตร์หรือไม่
เรื่องเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์หรือธุรกิจเชิงสร้างสรรค์นั้นมันคล้ายกับว่าขายของอย่างเดียวกันแต่คนละแบบ อ่านแล้วคงงงๆนะครับตัวอย่างเช่นการขายกระเป๋าถือถ้าเรานำเอาลิงดูดมือไปใส่หน่อยมันไม่ใช่กระเป๋าถือแต่มันเป็นแฟชั่น หรืออย่างโรงแรมแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ชื่อว่า ลาเวนเดอร์ล้านนา โรงแรมนี้บริหารและบริการโดยเกย์ ถ้าเราตัดอคติในเรื่องเกย์ต้องเป็นเรื่องเซ็กซ์ออกแล้วเราจะเห็นว่าเค้าเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงมากๆ เพราะผู้บริหาร พนักงานบริการ ทุกคนเป็นเกย์ ซึ่งหมายความว่าพูดจาภาษาเดียวกัน มีทัศนคติความเชื่อและวิถีชีวิตคล้ายกันดังนั้นคงจะเข้าอกเข้าใจกันได้ดีกว่าคนที่มีทัศนคติคนละอย่างกัน (ต้องตัดเรื่องเซ็กซ์ออกไปให้ได้) ถ้าท่านได้ไปที่ฮ่องกงแล้วตอนกลางคืนลองไปยืนตรงสุดถนนนาธานที่เป็นท่าเรื่อข้ามฝากซิครับ เค้าจะเอาตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมาเล่นแสงสีส่วนเสียงถ้ามีวิทยุเปิดไปก็จะได้อรรถรสครบครันเลยครับ แค่เอาตึกต่างๆ(ที่สูง) มาประดับไฟและเปิดให้ไฟเปิดปิดกระพริบตามจังหวะและเสียงดนตรีแค่นี้คนก็แห่ไปยืนดูกันมากมาย หรือใครไปมาเก๊าที่มาเก๊าทาวเวอร์นอกจากเป็นจุดชมเมือง มีร้านอาหารหมุนได้แล้ว ยังมีบริการให้กระโดดบันจี้จั๊มสำหรับคนใจถึง แต่หากใจถึงน้อยลงมาหน่อยก็มีบริการพาเดินรอบหอคอยที่ระดับความสูงหลายร้อยเมตรซึ่งก็สร้างความเสียวให้ได้ระดับละครับ ซึ่งผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันเมืองต่างๆในโลกนี้ส่วนใหญ่เค้ามีทาวเวอร์ของตนเองขนาดสุพรรณยังมีเลยก็คงขาดแค่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรของท่านผู้ว่าสุขุมพันธ์นี้แหละ เมื่อไหร่จะมีก็ไม่รู้นะครับ นี่ก็เห็นว่ามีธุรกิจเชิงสร้างสรรค์อยู่ที่เมืองกาญจนบุรีก็เป็นโรงถ่ายหนังที่ใช้ถ่ายเรื่องสุริโยไทยนำมาเปิดให้ประชาชนเข้าชม ก็ได้บรรยากาศแต่ถ้าเพิ่มสีสันเข้าไปอีกสักนิดคงจะเรียกแขกได้อีกมากโขนะครับ ประเทศเกาหลีเป็นตัวอย่างของธุรกิจเชิงสร้างสรรค์การท่องเที่ยวเกาหลีเค้าพัฒนาไปมาก โดยมีความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรมขายความเป็นเกาหลี แล้วมาต่อยอดเป็นตามรอยภายพยนต์เกาหลีซึ่งเมื่อเราไปดูแล้วไม่มีอะไรเลยจริงๆ เกาะนามิสู้เขาใหญ่ของเราไม่ติด บางแห่งแค่เอาของที่เคยใช้ถ่ายประกอบฉากในภาพยนตร์มารวมกันแล้วให้เราเข้าไปดูก็เก็บตังได้แล้ว ไม่ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนโรงถ่ายสุริโยทัยยังหาตังได้นี่ต่างหากที่เป็นธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งในอัฟริกาใต้เค้าเอาเหมือทองคำที่ปิดไปแล้วมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก็บเงินเก็บทองนักท่องเที่ยวไม่รู้เท่าไหร่รู้สึกว่าจะชื่อ GOLDENLEAF ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เค้าไม่เรียกว่าเป็นการขายสินค้า หรือการขายบริการ แต่เป็น ”การขายประสบการณ์ “ ดังนั้นหาให้เจอ เจอแล้วย้ำ ย้ำแล้วปลุกกระแสแล้วเศรษฐกิจไทยจะไปโลดอย่างแน่นอน.......

1 ความคิดเห็น:

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...