วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นิวซีแลนด์ AND ACTIVITY


เคยมีคนถามผมว่าจำได้หรือไม่ว่าคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา ผู้เล่าข่าวยอดนิยมแห่งช่อง3 เคยหยุดทำรายการบ้างหรือไม่ (ตั้งแต่แกดังมานะครับ) เพราะเห็นแกจัดรายการอยู่ทุกวันไม่เคยสาย ป่วย หรือมีกิจอันใดเลย ก็คงจะได้คำตอบว่าเท่าที่รู้ไม่เคยเห็นแกหายจากจอไปเลย ยกเว้นนิดเดียวตอนช่องสามถูกเผาเมื่อพฤษภาคม53 หายได้สองวันก็กลับมาทันทีทันใจ ทำไมผมถึงเริ่มบทความนี้ด้วยวลีนี้นะหรือครับเพราะว่าการที่ผู้บริหารคนหนึ่งจะทำงานทุกวันจนหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาพักผ่อน คลายเครียด ไม่เคยชาร์จแบตเตอรี่เลยนั้นไม่รู้ว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ สำหรับคุณสรยุทธอาจต่างจากผู้บริหารธุรกิจอื่นๆเพราะการทำรายการไม่ต้องมีองค์ประกอบ หรือปัจจัยแวดล้อมที่มีต่อผลของงานมากเท่าธุรกิจอื่นๆ แค่มีข่าวและองค์ความรู้(รอบรู้)รวมทั้งเทคนิควิธีการนำเสนอที่โดนใจผู้ชมก็ดำเนินรายการได้ แต่กับการบริหารธุรกิจแล้วมันมีองค์ประกอบอื่นๆที่มามีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจนั้น ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของคน พนักงาน เครื่องจักร การผลิต การเงิน ฯลฯ ก็เลยอยากจะเรียนท่านผู้บริหารว่าต้องหาเวลาไปชาร์จแบตเตอรี่บ้าง หาเวลาอยู่กับครอบครัวบ้างเท่านั้นเอง
ผมเองได้มีโอกาสลาพักร้อนไปกับฉลอง SILVER ANNIVERSARY ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก็เลยอยากจะนำมุมมองของประเทศนี้มาเล่าสู่กันฟังนะครับ นิวซีแลนด์ไม่มีประวัติศาสตร์เป็นพันๆปีเหมือน จีน อียิปต์ หรือยุโรปให้ศึกษาเพราะมีอายุแค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นเอง ดังนั้นปราสาทราชวัง วัด โบสถ์ สิ่งก่อสร้างที่เป็นวัตถุโบราณทั้งหลายคงไม่มีให้ท่านได้ชม ประชากรก็มีแค่ประมาณ 4 ล้านคนเท่านั้นเองบางเมืองเล็กมีคนแค่หลักพันคนเท่านั้น แต่มีประชากรแกะถึง 40 ล้านตัวได้ ดังนั้นสิ่งที่นิวซีแลนด์นำมาเป็นจุดขายก็คือธรรมชาติและกิจกรรม ขอย้ำว่ากิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการบันจี้จั้มก็มีต้นกำเนิดมาจากที่นี่เอง ซึ่งผมเองกะว่าจะลองโดดดูยักหน่อยแต่พอตอนไปถึงมันเย็นมากไปเลยไม่มีโอกาสได้โดด(แต่คงไม่กล้าโดดจริงๆคงได้แต่ตั้งใจครับ) การนั่งเรื่อสปีดโบทค่านั่งตั้งเกือบสองพันบาท แต่ว่าไม่ได้นั่งเฉยได้เสียวด้วยเพราะคนขับเรื่อจะขับตรงดิ่งเฉียดไปยังโขดหินที่มีน้ำไหลเชียวกรากแล้วโชว์ฝีมือหลบได้อย่างที่พวกเราหายใจไม่ทัวท้อง การนั่งเรือออกไปชมปลาวาฬ การนั่งเฮลีคอปเตอร์หรือเครื่องบินเล็กไปชมสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นกราเซีย(ธารน้ำแข็ง) หรือชมปลาวาฬ การนั่งบอลลูน การพักแบบ B&B คือ BED and BREAKEAST กับชาวบ้าน ก็เหมือนกับการพักแบบโฮมสเตย์ในบ้านเรา การมีรถให้เช่าขับทังรถเก๋งธรรมดา และรถบ้านซึ่งค่าเช่าวันละประมาณ 4,000 บาท แต่ถ้าคิดว่าต้องไปนอนโรมแรมกะเช่ารถเก๋งก็พอๆกัน แต่ได้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่งที่เราไม่เคยทำ ฯลฯ ในเมืองที่หอคอยสกายทาวเวอร์ก็มีบริการกิจกรรม เดินรอบหอคอย(ขอบบอกว่าเสียวมาก) หรือการสกายไดว์คือดิ่งลงมาแบบโดดร่ม ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อจะบอกว่าการดำเนินธุรกิจของนิวซีแลนด์นั้นเค้าต้องหาจุดขายของประเทศแล้วนำมาเสนอให้เห็นอย่างแตกต่าง กิจกรรมหนึ่งซึ่งดูเหมือว่าจะเป็นกิจกรรมประจำวันของเค้าแต่อาจจะเป็นที่ตื่นตาตื่นใจกับคนต่างชาติที่ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ การตัดขนแกะ การดูสุนัขไล่แกะ ฯลฯ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของเค้าแต่ก็เอามาโชว์เราที่ไม่เคยเห็น ก็กลายเป็นจุดขายได้แล้วครับพี่น้องทั้งหลาย ทราบมาว่ามีรีสอรท์แถวสวนผึ้งแห่งหนึ่ง มีฟาร์มแกะให้ชมด้วยกลายเป็นของใหม่เป็นจุดขายได้อีกทางหนึ่ง หรือฟาร์มโชคชัยที่ปากช่องก็เป็นคำตอบสุดท้ายให้กับบทความของผมชิ้นนี้ได้ครับเพราะถ้าเลี้ยงวัวขายนมวัวและเนื้อแต่เพียงอย่างเดียวคงมาไม่ถึงวันนี้แน่ๆ แต่เพราะมีกิจกรรมซึ่งเป็นจุดขายแถมได้ตังเพราะก็กลายเป็นของใหม่สำหรับคนที่ไม่เคยเห็น สำหรับนิวซีแลนด์แล้วแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะไม่มากเท่ากับประเทศไทยซึ่งปีละ 12-13 ล้าน เพราะเค้าแค่ปีละ 5-6 ล้านคนเท่านั้นแต่หากมองจำนวนวันเมื่อคูณกับเม็ดเงินที่ใช้จ่ายแล้วเรียกว่ารายได้จากการท่องเทียวของเค้าคงไม่น้อยกว่าเราไปมากนัก เพราะจำนวนวันมากกว่าและค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อคนต่อวันมากกว่าเรายิ่งเมือ่ไปเทียบเป็นรายได้ต่อประชากรต่อหัวแล้วนิวซีแลนด์น่าจะมากกว่าเรา เพราะมีประชากรแค่ 4 ล้านของเราตั้ง 64 ล้านคนแล้วครับ อีก 20 ปีข้างหน้าเค้าอาจจะนำหน้าเราไปก็ได้ถ้าไม่ทำอะไรเสียตั้งแต่ตอนนี้ทั้งๆที่เรามีดีกว่าเค้าอีกเยอะแยะ แต่ไม่พัฒนาเอามาเป็น “จุดขาย”
ต้องบอกว่า”นิวซีแลนด์” ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย นอกจาก ......”จุดขายของประเทศนิวซีแลนด์” แล้วประเทศไทยเรา มีจุดขายอะไรบ้างครับพี่น้อง ????? อ้อ .......แล้วอย่าลืมว่าทำงานจนไม่มีเวลาพาครอบครัวไปพักผ่อนมั่งนะครับเหมือนกับแคมเปญของรัฐว่า “มีกิจกรรมกับครอบครัวอาทิตย์ละครั้ง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...