วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

“WORLD CUP 2010 “



ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์กรุ๊ป
ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


มหกรรมฟุตบอลโลก2010 ที่อัฟริกาใต้นับได้ว่าเป็นอีกมหกรรมหนึ่งที่มีประชาชนทั่วโลกเผ้ารอ มีผู้ชมเป็นพันล้านคน เงินหมุนเวียนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ประเทศเจ้าภาพกว่าจะรณรงค์เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าสมควรเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกต้องทำงานอย่างหนัก ในการนำเสนอเตรียมการและรณรงค์กว่าจะได้เป็นเจ้าภาพ สำหรับฟุตบอลโลกครั้งนี้ผมได้มีโอกาสอีกครั้งหนึ่งได้เข้าไปชมถึงขอบสนาม ต้องบอกว่าขอบสนามจริงๆเพราะว่านั่งอยู่แถวที่ 6 และนับเป็นการไปชมเป็นครั้งที่สองครั้งแรกที่เกาหลีใต้ปี 2002 แต่ได้ไปร่วมมหกรรมแต่ไม่ได้ชมการแข่งขันที่เยรมันเมื่อปี 2006 รวมแล้วก็สามครั้ง นี่ว่า 2014 ที่บราซิลก็ตั้งใจว่าจะไปร่วมด้วยช่วยกันดูอีกครั้ง ซึ่งในปี 2010 นี่ที่อัฟริกาใต้ก็ด้วยความอนุเคราะห์ของคุณเป็ด เชิญยิ้ม ที่เป็นสภากรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
ข้อเขียนของผมในครั้งนี้คงไม่เน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่จะเอาแบบรวมๆ ทั้งแนวคิดทางการตลาด สัพเพเหระจากการเดินทางตลอดเวลา 7 วันในการเดินทางเพื่อให้หลากหลายก็แล้วกันนะครับ ถ้าท่านที่ดูการถ่ายทอดสด ซึ่งคิดว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ถ่ายสดทุกนัด ดูฟรีทุกนัด ไชโยประเทศไทยแต่เมื่อไหร่บอลไทยจะไปบอลโลกซักทีก็ไม่รู้ มีคนพูดเล่นๆว่าบอลไทยจะไปมวยโลกก็อย่าเพิ่งไปดูถูกทีมไทยนะอีกซัก 50 ปี อาจจะได้ไปก็ได้ใครจะไปรู้เพราะว่าไทยพรีเมียลีกมีคนดูเยอะจริงๆสองปีที่ผ่านมา มีการจ้างนักบอลต่างชาติมาเล่นเพื่อยกระดับฟุตบอลไทย คนเรามีความหวังก็ยังดีกว่าอยู่อย่างสิ้นหวังนะครับ นักฟุตบอลโลกที่เล่นกันอยู่ทั้ง 32 ทีม ถ้าท่านสังเกตให้ดีรองเท้าฟุตบอลลักษณะใดที่นักฟุตบอลส่วนใหญ่สวมใส่ในขณะแข่งขัน ผมประมาณเอาว่าครึ่งหนึ่งของนักฟุตบอล (พยายามนับแต่มันไม่ยอมอยู่นิ่งๆให้นับครับ) สวมใส่รองเท้าฟุตบอลที่ตรงส้นเท้าประมาณครึ่งหนึ่งของรองเท้ามีสีส้มแสดสะท้อนแสงแสดงจุดโดดเด่น แถมตรงฝ่าเท้าก็ยังแซมด้วยสีส้มสะท้อนแสงเช่นเดียวกัน บางท่านอาจจะนึกว่าเป็นยี่ห้ออาดีแดสซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ แต่กลับกลายเป็น “ไนกี้” นะครับ ซึ่งเป็นรองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับฟุตบอลเบามากๆและการที่ทำสีแสดตรงส้นเท้ามันดูโดดเด่นในสนามมากครับ ถ้าเราลองนึกย้อนไปสมันก่อนโน้นรองเท้าจะมีสีดำและมีแถบสามเส้นอยู่ด้านข้างทั้งสองด้านของเท้า มองไปไม่รู้ว่านักบอลเหล่านั้นใส่รองเท้ายี่ห้ออะไรมันขาดความแตกต่าง (DIFFERENTIATION) ไม่บ่งบอกเอกลักษณ์ของตรายี่ห้อสินค้าแต่คราวนี้ออกมาแบบว่าโดดเด่นเห็นแต่ไกลเลยครับ นี่ถ้าลองไปสร้างความสัมพันธ์กับช่างกล้องและทีมงานถ่ายทอดสดให้โคลสหรือสโลโมชั่นตอนเตะลูกฟรีคิก หรือตอนนักบอลล้มลง ให้เห็นตราไนกี้ชัดๆละก็คงสร้างการรับรู้ได้ดีกว่านี้ครับ ซึ่งไปครั้งนี้คุณเป็ดก็ได้ซื้อรองเท้าไนกี้รุ่นนี้มาด้วยครับไม่แพงหรอกครับ แค่คู่ละ 18,000 บาทเองแถมยังปักชื่อและธงชาติให้อีกด้วยครั้งเพิ่มแค่ 1,000 บาทเอง ซึ่งเป็นการสร้างสินค้าให้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้ซื้อ (UNIQUE) ลำพังค่าปัก ค่าแรง คงอีกนิดหน่อยแต่ขายของเพิ่มได้ราคาอีกตั้ง 1,000 บาท เห็นหรือยังครับเงินหาได้ในอากาศจากความคิดที่แปลกและแตกต่าง แต่โดนใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายครับ
ถ้าถามว่าค่ายน้ำดำค่ายใดเป็นสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า “โค้ก” เป็นสปอนเซอร์หลัก เพราะว่าเห็นโฆษณา “เป็ปซี่” โดดเด่นมากกว่าเพราะว่าเป็บซี่มีทีมฟุตบอลเป็บซี่โดยเอานักฟุตบอลดังๆทั่วโลกมาเป็นพรีเซนเตอร์ซึ่งเป็นแนวคิดทาง SPORT MARKETING ที่ทางเป็บซี่ใช้มาอย่างต่อเนื่องนับเป็นสิบปีแล้วครับทำให้ซึมซับความเป็นฟุตบอลได้มากกว่า หรือเรียกว่ามีความเกี่ยวพันกับฟุตบอลมากกว่าโค้ก เพราะโฆษณาของโค้กเน้นที่การสนุกสนานโดยมีแนวคิดว่า CELEBRATION โดยเป็นคนดำมาร้องรำทำเพลงแนวอัฟริกัน กับโฆษณาที่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเด็กดำมาเล่นฟุตบอลนิดหน่อยโดยเน้นที่การเฉลิมฉลองเสียมากกว่า แต่ว่าในสนามมันขายโค้กซะต้องยืนเข้าแถวประมาณครึ่งชั่วโมงถึงได้กินเลยละครับ นัดนึกก็ 5 – 8 หมื่นคนเองไม่รู้ว่ายอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้นคุ้มกับค่าสปอนเซอร์หรือเปล่าครับ บรรยากาศฟุตบอลโลกนี่คนไปดูได้ความรู้สึกอึ้งทึ่งเสียวกับคนดู กองเชียร์ ฯลฯ ผมเองกับเกมฟุตบอลก็ไม่ใช่ว่าหลงใหลเสียทีเดียวแต่การไปสัมผัสมหกรรมนี้มันต้องที่กองเชียร์ ที่ทุกคนใส่อารมณ์และความรู้สึกกันอย่างเต็มที่ ที่ท่านเห็นทางทีวีแค่ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของของจริงผมเองได้สัมผัสมา 3 ครั้งแล้วได้อารมณ์ดีมากจริงๆครับ ควรหาโอกาสสักครั้งหนึ่งในชีวิตให้รางวัลกับชีวิตบ้างนะครับลองไปสัมผัสกับมหกรรมระดับโลกดูซักครั้งไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก โอลิมปิค พรีเมียลีคที่อังกฤษ วิมเบลดัน หรือ เอ็กซ์โป (กำลังมีที่เซียงไฮ้ แต่ขอให้เอา แพมเพิสกับเก้าอี้ไปนั่งรอตอนเข้าคิวด้วยนะครับ เพราะกว่าจะได้ดูต้องรอ พาวิเลียนละ 2-3 ชั่วโมง) ฯลฯ
เรื่องสุดท้ายได้คุยกับคุณเป็ดตอนทานข้าวเช้ากันก็ได้ซึมซับแนวคิดดีๆหลายเรื่องขอเอามาเล่าสู่กันฟังซักเรื่องหนึ่งคือ คุณเป็ดบอกว่าการที่คนเราขึ้นสู่ที่สูงแล้วก็เหมือนกับฟุตบอลต้องตกลงมา แล้วถ้ามีแรงส่งก็จะกระเด้งขึ้นแต่ไม่ถึงจุดเดิม จึงต้องหาฟูกมารองรับเพื่อให้ลูกบอลเด้งถึงจุดเดิม (แต่จริงๆแล้วควรเป็นไม้กระดานมากกว่า เพราะถ้าเป็นฟูกมันจะยิ่งดูดซับแรงกระทบทำให้ลูกบอลไม่กระเด้งขึ้น นี่ว่าตามหลักฟิสิกส์นะครับ แต่ถ้าตามหลักปรัชญาแล้วฟูก ก็โอละครับ) และนับวันก็ต้องหาฟูกมากขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้ลูกบอกอยู่จุดเดิมหรือใกล้เคียงกับจุดเดิมให้ได้ มิฉะนั้นก็จะตกและอยู่ที่พื้น เป็นแนวคิดที่คมมากทีเดียวก็เลยขออนุญาตคุณเป็ดว่าจะนำมาเขียนเป็นบทความนี้ แล้ววันนี้คุณมีฟูกมารองรับการตกต่ำของคุณแล้วหรือยังครับท่าน “วูเซล่า” จงเจริญ (ขอบอกมันขายแพงมาก อันละ 400 บาท แถมเป่าไม่ดังอีกต่างหาก )

3 ความคิดเห็น:

  1. อาจารย์เก่งจัง อยากมีพรสวรรค์เหมือนอาจารย์บ้างจัง

    ตอบลบ
  2. ชอบกฎแรงกระทบค่ะ น่าสนใจ

    ขอคัดบางส่วนไปลงใน space ตัวเองนะคะ

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นที่สอง ใครเอ่ยย แต่อนุญาติงะ
    เรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ยินดีเสมอ

    พงษ์ศักดิ์

    ตอบลบ

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...