วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

ดูไบที่ไปมา

ผมเคยเขียนแตะถึงดูไบครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมกราคม ปี 2552 ตอนนั้นการท่องเที่ยวดูไบเพิ่งเริ่มบูม เพราะวิสัยทัศน์ของดูไบนั้นตอบโจทย์ว่าจะเป็น WORLD PLAYGROUND ENTERTAINMENT แถมตอนนี้อดีตผู้นำของเราก็ไปพำนักแบบกึ่งถาวรอยู่ในดูไบเสียด้วย เลยทำให้คนไทยรู้จักดูไบมากยิ่งขึ้น พอดีช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพาบุพการี และ ครอบครัวไปเที่ยวดูไบ ซึ่งหลายๆคนถามก่อนไปว่าไม่ร้อนแย่หรือ เพราะเรายึดติดว่าเมืองทะเลทรายต้องร้อน ร้อน และร้อน ใครเลยจะเชื่อว่า กลางทะเลทรายผมถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าเพราะว่าทรายมันเข้ารองเท้า ทั้งที่ทัวร์บอกให้เอารองเท้าแตะไปด้วยแต่ด้วยความขี้เกียจก็เลยไม่ได้เอาไป แถมตอนกลางคืนซักประมาณหนึ่งทุ่มได้พอเริ่มรับประทานอาหารท่านอาจจะไม่เชื่อว่าทรายนั้นเย็นพอสมควรทีเดียว ทั้งๆที่ยังไม่ดึกนี่ถ้าหากดึกไม่ทราบว่าอุณหภูมิจะเป็นเท่าไหร่ เพราะเดินทางกลับมานอนในเมือง ก็เรียกได้ว่าเข็มขัดสั้นคือหมายถึงคาดไม่ถึงนะครับพี่น้อง ผู้บริหารดูไบทราบดีว่าน้ำมันมีวันหมดไม่วันใดก็วันหนึ่ง (บางคนคาดว่า 100 ปี ) ไม่นานเลยครับแค่สองหรือสามชั่วอายุคนเท่านั้นเอง แล้วประเทศที่ไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ปลูกอะไรก็ไม่ได้จะอยู่ได้อย่างไรหากขาดน้ำมัน วิสัยทัศน์ของเจ้าผู้ครองนครดูไบ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดรัฐของสหรัฐอาหรับอีมิเรสต์ จึงต้องการนำเงินรายได้ที่มีอยู่มาสร้างสิ่งที่จะเป็นจุดขายของประเทศ เพื่อคนรุ่นต่อไปแต่ว่าด้วยการลงทุนที่มากเกินตัวไปทำให้มีปัญหาในการชำระหนึ้ ขนาดมีเงินจากการขายน้ำมันวันหนึ่งไม่รู้กี่พันหรือกี่หมื่นล้านบาทนะครับลองคิดดูเล่นถ้าขุดน้ำมันมาขายได้ 1 ล้านบาเรล ก็ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือ 3,000 ล้านบาท ถ้า 5 ล้านบาเรลก็ 15,000 ล้านบาท อะไรจะมากประมาณนั้นกับพลเมืองท้องถิ่นแค่ 1.5 ล้านคน การสร้างสิ่งต่างๆไม่ว่าจะตึกสูงที่สุดในโลก 160 ชั้น 828 เมตร ศูนย์การค้าที่มีพื้นที่มากที่สุดในโลก พร้อมกับลานเล่นสกีเล่นได้จริงๆด้วย ดูเอานะครับเพราะเล่นไม่เป็นเกาะขอบกระจกดูน้ำลายห้อยเลย โรงแรมแอตเลนติสที่ใหญ่โตมโหราฬแถมมี่ที่พักผ่อนหย่อนใจสวนน้ำให้เล่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน ก็คล้ายกับสวนสยามบ้านเราแต่อเมสซิ่งกว่าเพราะเวลาดิ่งลงมาจากสไลเดอร์แล้วจะผ่านอุโมงค์ที่ผ่านลอดอความเรียมอีก แถมสถานที่ตั้งของโรงแรมก็คือยอดของเดอะปาล์มที่ถมทะเลทำเป็น บ้านพักตากอากาศ ที่คนดังทั้งหลายรวมทั้งนายกดูไบของเราก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่นี่ก็สร้างไว้แต่ถ้าในมุมมองของนักเศรษฐศาสตรือาจไม่คุ้ม เช่น สนามแข่งฟอร์มูล่าวัน แต่ก็ถือได้ว่าเรียกแขกได้พอสมควรที่เดียว รวมทั้งการแสดงน้ำพุเต้นระบำที่สวยงานประทับใจ พอดีเดินผ่านร้านอาหารร้าหนึ่งรู้สึกว่าจะชื่อ DEAN & DELUCA ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นสามของห้าง DUBAI MALL มีเทอเรสตั้งโต๊ะอาหารได้ประมาณ 20-30 ที่นั่ง ที่มุมของห้องอาหารนั้นมองลงไปดูน้ำพุเต้นระบำ MUSIC FOUNTAIN ที่เปิดแสดงวันละ 4-5 รอบ แค่รอบละ 3 นาที (น้อยไปหน่อย) เลยเดินเข้าไปถามเขาว่ามีที่นั่งริมหน้าต่างตรงที่การแสดงหรือไม่ ซึ่งตอนแรกไม่ทราบว่ามีมุมเทอเรสออกไปพอดีกับมุมสวยๆ เลยทราบว่ามีบริการตรงเทอเรสแต่ต้องสั่งอาหารอย่างต่ำท่านละ 70 เหรียญดูไปก็ประมาณ 700 บาท ปกติก็ต้องกินอาหารอยู่แล้วเลยเลือกบริหารร้านนี้เลย สุดยอดมุมและบรรยากาศยามเย็นเลยครับสวยงามประทับใจทุกๆท่านจริงๆ แถมอาหารที่บริการก็เรียกได้ว่าเป็นแบบฟิวชั่น ประมาณว่ามีนักออกแบบและตกแต่งอาหารเลยละตามชื่อร้านซึ่งเข้าใจเอาว่าเป็นคนสองคนที่เป็นเจ้าของและดีไซน์ แบบและอาหารรวมทั้งมีซุปเปอร์เล็กๆอยุ่ในร้านขายสิ่งละอันพันละน้อยพร้อมทั้งหนังสือแนะนำการทำอาหารแน่นอนชื่อหนังสือว่า DEAN & DELUCA อีกอย่างหนึ่งที่เคยเล่าให้ฟังว่ามีน้ำเปล่าขวดละ 1,000 บาทขายนั้นชื่อ H2O วันนั้นได้เจอตัวจริงเสียงจริงขวดจริงจึงขอลูบเล่นเป็นบุญมือ น้ำเปล่าอะไรจะประมาณนั้นแพงชะมัดยาดเลย สรุปว่าเขาขายขวดเพราะที่ขวดมีสวารอฟสกี้ติดอยู่เลยแพงเป็นพิเศษ ไปซื้อบัตรเข้าอควาเรียมเขามีขายตั้งแต่ราคา 70,85,100 เหรียญ โดยมีแต่ละราคาก็ได้เข้าชมสถานที่ที่เพิ่มขึ้นพร้อมทั้งคูปองซื้อของที่ระลึกของดูไบอควาเรียม และคนที่ซื่อ 75 ไม่ค่อยมีครับเพราะเพิ่มอีกนิดเดียว ก็ได้ชม LOST WORLD ฯลฯ เพิ่มขึ้น ถ้าซื้อบัตร 100 เหรียญ ก็จะได้นั่งเรื่องท้องกระจกชมรอบควาเรียมอีก เวลาสั้นแม้ไม่มีอะไรมากแต่ไม่เคยดู ไม่เคยเล่น ไม่เคยเห็น ก็ยอมจ่ายเพิ่มอีกคนละ 15 หรือ 20 เหรียญตามลำดับ พร้อมกับต้องเพิ่มตังซื้อของที่ระลึกอีกเพราะมีคูปอง คนละ 20 เหรียญดูไบอยู่แล้ว เรียกได้ว่าขายรวมเป็นแพคเกจ ลูกค้าเลยซื้อสิ่งที่ขายพ่วงมาโดยตั้งใจให้เขาหลอกเพราะคิดว่าได้กำไรมากกว่าแต่แท้จริงแล้วอควาเรียมได้กำไรเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะมีคนดูเพิ่มหรือไม่เพิ่ม(จากการซื้อแพคเกจ) บริการเขาก็มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คนก็มีอยู่แล้ว เรียกได้ว่าอความเรียมมีแต่ได้กับได้ครับผม ก่อนจากดูไบที่สนาบบินร้านค้าปลอดอากรเขาน่าเดิน น่าซื้อ อะไรที่เขาขายถูกมันถูกจริงน้ำหอมบางยี่ห้อถูกว่าบ้านเราถึง 25 เปอร์เซ็นต์ (ทั้งที่เรามีบัตรลด 15 เปอร์เซ็นต์แล้วนะ) มีเรื่องเดียวที่ต้องตำหนิอย่างแรงและเป็นความภาคภูมิใจของ ตรวจคนเข้าเมืองของเราที่มี ตม.ดูไบห่วยแตกกว่าบ้านเรา ต้องมีการสแกน แถมแถวก็เป็นแบบแถวใครแถวมัน เห็นหางแถวมี 6 หางเราก็ต่อกันไปยาวเหยียดแต่ทำไมแถวเราขยับแล้วหยุดยาว แล้วขยับแล้วหยุดยาวสลับกันไป สุดท้ายถึงบางอ้อแถวนี้เขาสำหรับสุภาพสตรีแต่ประชาชนดันทำเป็นสองแถว คละกันไปมากว่าจะเคลียร์กันได้ก็เล่นเอาวัยรุ่นเซ้งไปเลยใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง สแกนม่านตาเสร็จก็ไปต่อแถวเข้าประทับตราเข้าเมืองอีก เหมือนเดิมเป็นแถวใครแถวมันใครโชคดีตม.ทำงานเร็วก็โชคดีไปใครเจอปัญหาก็หยุดยาวไปรวมแล้วใช้เวลาในขั้นตอนนี้ รวมกันเกือบสามชั่วโมง ทำให้ ตม.ไทยดีใจที่มีบริการที่แย่กว่าสุดๆ แต่ในที่สุด ตม.ไทยก็ดวงตาเห็นธรรมเป็นแถวเดี่ยวคดเคี้ยวแบบงูแล้วกว่าจะเห็นธรรมเราก็กรรมเพราะต้องใช้บริการตม.ไทยเดือนละหนึ่งครั้งรอเข้าไปโยม ช้าๆได้พร้าเล่มงาม..............

3 ความคิดเห็น:

  1. สรุปว่าท่านกำลังสอนเรื่องวินัย ที่คนไทยทำไม่ค่อยได้ใช่ป่าวคะ

    ตอบลบ
  2. บทความคล้ายๆการเขียนเปล่าครับ ไม่เน้นวิชาการ แต่เขียนคร่าวๆในสิ่งที่ประสบการณ์ตนพบเห็น เหมาะสำหรับอ่านเพลินเพลิน

    ตอบลบ
  3. ตามชื่อบล๊อกละครับ "เล่าเท่าที่เห็น" ก้เล่าในสิ่งที่เห็นงัยครับ อิอิ

    ตอบลบ

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...