วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

“โอฮาโย ฮอกไกโด”

                “หนาวนี้ไปไหนดี” คงเป็นคำถามที่หลายๆคนถูกถามเมื่อฤดูหนาวย่างเข้ามา เพราะหน้าหนาวจะมีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากปกติที่คนไทยได้สัมผัสอยู่เป็นประจำ เพราะสำหรับคนกรุงเทพแล้วถ้าอากาศเย็นนิดๆก็ดีใจแล้วเพราะว่า ผมเคยตอบลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศว่ากรุงเทพมีสามฤดู คือร้อน ร้อนกว่า และ ร้อนที่สุด เรียกว่าฤดูหนาวของกรุงเทพ ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อกันหนาวเลยซะงั้น แต่เห็นใครๆก็ไปซับโปโรกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบินไทยตอนปลายปี 2555 ได้เปิดเที่ยวบินตรงไปยังซับโปโรโดยตรง ก็แปลว่ามีผู้โดยสารมากพอที่จะเปิดเที่ยวบิน ปีนี้ก็เลยได้มีโอกาสไปซับโปโรและได้เที่ยวชมเทศกาลหิมะของซับโปโรเป็นที่เรียบร้อย


                      เทศกาลหิมะของเมืองซัปโปะโระเริ่มขึ้นเมื่อราว ปี ค.ศ. 1950 โดยความร่วมมือของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวซัปโปะโระและเขตซัปโปะโระ ในเทศกาลหิมะครั้งแรกนี้ เพราะไม่มีใครเคยสร้างรูปปั้นหิมะมาก่อน คณะกรรมการจัดงานจึงต้องขอร้องให้นักเรียนชั้นมัธยมปลายในเมืองซับโปโรร่วมกันก่อรูปปั้นหิมะจนได้รูปปั้นจำนวน 6 ชิ้นในบริเวณลานในสวนสาธารณะโอโดริซึ่งเดิมใช้เป็นที่ทิ้งหิมะ รูปปั้นหิมะรุ่นแรก ๆ นั้นมีความสูงอย่างมากเพียง 7 เมตรเท่านั้น แต่ในงานครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 1953 มีการสร้างรูปปั้นที่มีขนาดสูงถึง 15 เมตร ซึ่งต้องใช้หิมะจำนวนมาก จึงต้องใช้รถบรรทุกและรถดันดินมาช่วยในการสร้าง และนับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรูปปั้นหิมะขนาดใหญ่อย่างในปัจจุบัน ในปี 2013 นี้จึงเป็นการจัดงานครั้งที่ 63 และที่น่ายินดีที่รูปปั้นหิมะของประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยชนะเลิศมาแล้วถ้าจำไปไม่ผิด 3 ครั้ง





                       ก่อนไปเราก็จินตนาการว่างานจะต้องอลังการงานสร้างแบบอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล แต่เมื่อได้ไปสัมผัสจริงๆแล้วถึงแม้ว่าจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆที่อุณหภูมิ – 10 องศา แต่ว่ามันไม่อลังการเท่าที่คิดไว้นะครับ แต่อย่างไรก็ตามงานเทศกาลหิมะนี้ก็สามารถดึงดูดผู้คนให้ไปท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก หากรวมทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเองประมาณกันว่ามีจำนวนมากถึง 2 ล้านคน สามารถทำรายได้ให้ท้องถิ่นเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งๆที่จะว่าไปแล้วหากคนในประเทศที่เคยสัมผัสหิมะเป็นประจำก็คงไม่รู้สึกอะไรเหมือนกับกระเหรียงจากเมืองไทย (อิอิ) แต่ประเด็นมันอยู่ที่วิสัยทัศน์ของเมืองต่างหากที่เอาอุปสรรคมาเป็นโอกาสไหนๆมันก็หนาว ทำมาหากินยากอยู่แล้ว ไปไหนมาไหนไม่สะดวก ก็เอาความหนาวมาขายเสียให้สิ้นเรื่อง โดยการจัดเป็นเทศกาลหิมะอย่างเป็นกิจลักษณะเสียเลย ในประเทศไทยเราเองก็มีหลายๆจังหวัดพยายามจัดเทศกาลของจังหวัดตัวเองขึ้นทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น ตรัง มีเทศกาลวิวาห์ใต้สมุทรในวันวาเลนไทน์ ด้วย เห็นว่าปีนี้ที่เขตบางรักมีการจดทะเบียนถึง 548 คู่ ไม่รู้ว่าแต่งในเทศกาลวาเลนไทน์แล้วอนาคตหย่ากี่คู่ก็ไม่มีการสำรวจเสียด้วย หรือทางสุพรรณของป๋าเติ้งก็มีเทศกาลตรุษจีนและอลังการ์ เทียบได้กับทางนครสวรรค์ แถมดังกว่าเพราะพลุระเบิดปีนี้เลยงดการยิงพลุเสียเลย

                                นี่ก็ใกล้ที่ทางคณะกรรมการจัดงานเอ็กซ์โป 2020 จะพิจารณาประเทศที่จะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประเทศไทยของเราก็ส่ง อยุธยา เข้าประกวดหากได้รับการคัดเลือกก็จะถือว่าเป็นมหกรรมระดับโลกที่น่าจะสามารถดังดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในประเทศไทยหลายสิบล้านคน เพราะที่เซี่ยงไฮ้มีคนเข้าชมงานถึง 70 ล้านคนทั้งคนจีนและชาวต่างชาติ หน้าที่ของรัฐบาลไทยคงจะต้องคอยหาอีเวนต์ หรือเทศกาล งานต่างๆเข้ามาเพื่อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เรามี สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน.เป็นตัวขับเคลื่อน พยายามสนับสนุนการจัดประชุมสัมมนา การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล รวมถึงการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ หรือเรียกโดยรวมว่า "อุตสาหกรรมไมซ์" (MICE-Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions) ในประเทศไทย แต่ผมอยากให้เติมเป็น MICES ตัว S ที่เพิ่มเติมมาคือ SPORT ปี 2014 บราซิลจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และปี 2018 จะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิค ก็คงจะได้กระตุ้นเศรษฐกิจของบราซิลให้ไปโลดโดยไม่ต้องโฆษณามากอย่างแน่นอน

                     และลองนึกภาพดูนะครับถ้า “อาเซียน” จะจัดฟุตบอลโลกขึ้นมาบ้าง โดยอาจจะจัดใน 4 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และ สิงค์โปร รับไปจัดประเทศละ สองสาย เพราะฟุตบอลโลกจะมี 8 สายๆละ 4 ทีม เฮ้อ....ผมฝันไปหรือเปล่าว่าจะเขียอนซับโปโรไหงมาลง “อาเซียน”จนได้....งั้นขอไปต่อซับโปโรภาคสองก็แล้วกัน เพราะต้องตื่นไปแปรงฟันล้างหน้าก่อนครับผม .......เพราะเราฝันไป 555 @@@@@@@@@@




1 ความคิดเห็น:

  1. พี่มิ้งค์ค่ะ
    จะติดต่อพี่ได้ยังไงค่ะ
    ถ้าได้อ่านข้อความนี้ ติดต่อแอ๊ดที่nod28466@hotmail.com ด้วยนะค่ะ

    ตอบลบ

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...