วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

“ V- For THAILAND “


V- For THAILAND “

ดร.พงษ์ศักดิ์ สวัสดิเกียรติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ม.เกษตรศาสตร์

กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการพิสิษฐ์ กรุ๊ป

8 สิงหาคม 2556


เห็นหัวข้อบทความนี้อย่าเพิ่งคิดนะครับว่าผมจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เพราะว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถนัดและก็เห็นแล้วว่าในสังคมเราทุกวันนี้มีความแตกแยกอยู่มากพอแล้ว และยากยิ่งที่จะประสานมีแต่คนพูดกันว่า “ปรองดอง “ “สมานฉันท์” โดยเฉพาะนักการเมืองทั้งหลาย ผมว่าเรามาเริ่มที่ “ลด / เลิก ความเกลียดชัง” กันก่อนดีกว่า เพราะถ้าความเกลียดชังยังคงอยู่สิ่งที่เราเฝ้าหาคือปรองดองก็คงไม่มาอย่างแน่นอน นึกถึงเรื่องนี้แล้วเศร้าใจ เพราะประชาชนตาดำๆ (ทำไม่ต้องมีสร้อยนี้ต่อท้ายก็ไม่รู้) ก็ตกเป็นเหยื่อยของผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีมายาวนานตั้งแต่ 2475 นั่นเอง

มาเรื่อง V- For THAILAND ของผมดีกว่าว่าไม่เกี่ยวกับหน้ากากขาว หน้ากากเขียวแล้วมันจะหมายถึงอะไรกัน เพราะถ้าท่านได้ลองย้อนอ่านเรื่องเก่าๆของผม ที่ครั้งหนึ่งเคยเขียนถึง กลยุทธ์ของประเทศ โดยได้ยกตัวอย่าง ดูไบ ที่วันหนึ่งข้างหน้าน้ำมันจะหมดไปไม่มีสินค้ามาเสนอต่อลูกค้าแล้ว ก็เนรมิตประเทศให้เป็นแหล่งการค้า การลงทุน การเงิน การท่องเที่ยว เรียกว่าลูกหลานคนดูไบในอนาคตถ้าแค่เก็บค่าต๋ง ค่าเช่า ค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้วบริหารประเทศเจ้งก็เป็นกรรมของดูไปไปก็แล้วกัน สิงค์โปรก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของที่ผมอยากจะกล่าวถึงในตอนนี้ ทุกท่านคงทราบดีว่าประชากรสิงค์โปร มีแค่ประมาณ 5 ล้านคนเศษ พื้นที่แค่ 700 ตารางกิโลเมตร ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆที่มากพ่อต่อการผลิตเพื่อการส่งออก แม้แต่น้ำยังต้องซื้อจากมาเลเซีย (ปัจจุบันซื้อน้อยลง เพราะว่าผลิตน้ำเองได้ รวมทั้งรีไซเคิลน้ำมาใช้ได้อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุด ) แต่ว่าจีดีพีต่อหัว เกือบ 50,000 เหรียญสหรัฐ สูงที่สุดในอาเซียน ในขณะที่พี่ไทยเราประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐต่อคน ก็เทียบได้ประมาณ 10 % ของชาวสิงค์โปร แล้วเขามีวิธีการบริหารจัดการอย่างไรท่านก็คงได้รับทราบมาจากแหล่งอื่นๆอยุ่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ กล่าวกันว่าครูสิงค์โปรนั้นมีรายได้สูงมากๆแลมีคนเก่งๆไปเป็นครูเพื่อสร้างคน และการลงทุนในประเทศต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอยู่ในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตลอดจน CLMV ที่กำลังเติบโต (เขมร ลาว เมียนมาร์และ เวียดนาม) หันกลับมามองประเทศไทยซึ่งจริงๆแล้วมีศักยภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพนีและสถานที่ท่องเที่ยว ศูนย์กลางของการบิน แหล่งผลิตทั้งเพื่อบริโภคในประเทสและเพื่อการส่งออก ภูมิอากาศที่เหมาะต่อการเพาะปลูก และภัยพิบัติต่างๆที่ถือว่าน้อยกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ แล้ว V ของประเทศไทย หรือ VALUE ของประเทศไทยจะต้องพัฒนาอย่างไร ไปในทิศทางไหน ก็ขอแสดงความคิดเห็นอันน้อยนิดที่อาจจะเป็นมุมมองของคนเล็กๆคนหนึ่งดังนี้

V of Product คือคุณค่าของสินค้าและบริการ ที่เราจะต้องใส่ไปในสินค้าของประเทศไทย ตัวอย่างเช่นการท่องเที่ยว เรามีแหล่งท่องเที่ยวมากมายแต่การบริหารจัดการรู้สึกว่าจะล้มเหลว ลองดูตัวอย่าง “อัมพวา” เมื่อก่อนเงียบเหงาแต่พอบูมขึ้นมาท่านที่ไปอัมพวาตอนนี้ ลองถามว่าจริงๆแล้วท่านอยากให้อัพวาเป็นอย่างทุกวันนี้เหรือ คือไปซื้อของที่ผลิตจาก กรุงเทพ เสียเป็นส่วนใหญ่ความเป็น ออริจินอลอัมพวาแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย

V of Service คุณค่าของการบริการ ซึ่งตรงนี้นับได้ว่าคนไทยมีพรสวรรค์เป็นพิเศษสำหรับ รอยยิ้มและจิตบริการ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องมาปรับให้สอดคล้องกับบรรดาเหล่าลูกค้า และให้เป็นจิตบริการที่เกิดจากจิตวิญญาณที่แท้วจริง

V of Personal ทุนมนุษย์ที่คนไทยจะต้องพัฒนาเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราการศึกษาต่อของคนไทยจะสูงขึ้น การศึกษาเฉลี่ยสูงขึ้น แต่คุณภาพกลับลดลงเพราะระบบการศึกษาเป็นเหตุ ครั้งหนึ่งผมเคยออกข้อสอบโดยให้นักศึกษาปริญญาโท บริหาธุรกิจ เอาหนังสือพิมพ์ธุรกิจมาคนละฉบับ แล้วให้อ่านหลังจากนั้นให้เลือกเรื่องที่คิดว่าตนเองจะสามารถแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ เสนอแนะ ได้เพียงเรื่องเดียวมาเป็นคำตอบ ก็พบได้ว่าไบ้รับประทานเป็นแถวๆ คงไม่ปฏิเสธว่าคนจบปริญญาโท ปริญญาเอก มากขึ้นแต่ว่าความรู้ และการแสวงหาความรู้กับลดน้อยลง มีนตึ๊บ สิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนก็คือการสอนให้รู้จักคิด และ วิเคราะห์ ตลอดจนการนำเสนออย่างมีเหตุผล สามารถโน้มน้าวผู้คนให้คล้อยตามหรือเห็นพ้องต้องกันได้

V of Human (TOUCH) คุณค่าของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเราจะใส่อะไรเข้าไปในสินค้า หรือบริการก็ตาม แต่ความรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ต่างหากคือของจริงที่จะต้องมีอยู่ เพราะจะเป็นคุณค่าที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น เราอาจจะฝึกพนักงานให้กล่าวสวัสดีทุกครั้งที่มีเสียงลูกค้าเดินเข้าร้าน แต่ไม่เคยมองหน้าลูกค้า ไม่เคยสบตา ไม่มีรอยยิ้ม แล้วจะเข้าใจความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร เพราะแม้จะทำตามข้อกำหนดได้อย่างถูกต้อง 100 % แต่ขาดความเป็นมนุษย์ไปเสีย ก็เปรียบเสมือนหุ่นยนต์นั่นเอง

V of Creation ความคิดสร้างสรรค์ที่มันจะทำให้สินค้าและบริการการ ตลอดจนกลยุทธ์ หรือยุทธวิธี ของเราแตกต่างและโดนใจผู้บริโภค เรามี ECO TOURUSM ซึ่งเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ HEALTH TOURISM ทำไมเราไม่มี SPIRITUAL TOURISM ที่เน้นเรื่องการบริหารจิต (ที่ไม่ได้แค่ การนั่งสมาธิ) ที่นับวันมนุษย์จะแสวงหาและโหยหา มิใช่แค่การแชร์ บทความ ข้อความดีๆ ข้อคิดเตือนใจ แล้วเคยถามมั๊ยว่าไอ้ที่แชร์ ที่ไลค์ กันอยู่ทุกวัน ทุกชั่วโมงนั้น คุณทำกันอะป่าววววววว และขอเสนอแนะผู้ดูแลรับผิดชอบโครงการนี้ “สมีคำ ” รับรองไปสวรรค์ และนิพพานกันทุกคน อมิตพุทธิ ไปก่อนนะโยมเครื่องบินเจ็ตรออยู่...............................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...