วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

“ งดงามแม้ยามกดดัน ”







หัวข้อเรื่องนี้อาจจะทำให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายงงๆอยู่บ้างว่า บทความนี้จะสื่อเกี่ยวกับเรื่องอะไร เคยมีการสัมนาเรื่องธุรกิจกีฬาหรืออุตสาหกรรมกีฬาของประเทศไทยว่ามีขนาดหรือมูลค่าซักเท่าไหร่ดี ในการสัมมนาของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งก็ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนเพราะว่าเราไม่ได้มีการคำนวน หรือเห็นคุณค่าของอุตสาหกรรมกีฬา แต่ถ้าถามว่าเบียร์ เราตอบได้ว่า 125,000 ล้านบาท น้ำอัดลม 38,500 ล้านบาท ครีมอาบน้ำ 5,000 ล้านบาท ฯลฯ ก็เลยตั้งปุจฉากันไว้ว่าน่าจะมีการประสานงานกับนักเศรษฐศาสตร์หรือสถาบันวิจัยต่างๆให้ทำการสำรวจวิจัยว่าขนาดของอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทยเรา จะมีขนาดใหญ่โตซักขนาดไหนกันแน่
ในช่วงเดือน กรกฏาคมและสิงหาคมปี 2556 นี้นับเป็นปีพิเศษจริงที่เรามีทีมฟุตบอลสโมสรระดับโลก ได้มาโชว์ฝีเท้าในประเทศไทยของเราซึ่งจัดโดยบุญรอดบริวเวอร์รี่ ก็นำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ เชลซี ซึ่งสิงห์เป็นสปอนเซอร์มาเตะในประเทศไทยเพื่อเฉลิมฉลอง 80 ปี บุญรอดบริวเวอร์รี่ นอกจากนี้แล้วเรายังได้เห็นอีกสองทีม คือ ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลน่า มาโชว์ฝีมือในประเทศไทยอีกด้วย ท่านทราบหรือไม่ว่าอุตสาหกรรมฟุตบอลนั้นเอาแค่ในประเทศอังกฤษ ฟุตบอลพรีเมียลีค PREMIER LEAGUE มีมูลค่า ถึง2,700 ล้านปอนด์ หรือ 135,000 ล้านบาท (ประมาณ 5 % ของงบประมาณประเทศไทยนะครับ) มูลค่าของทีมละครับ Manchester United 293 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8,790 ล้านบาทครับซึ่งเกิดจากการคำนวณของนิตสารฟอร์บ


แต่ถ้าเป็นการประเมินมูลค่าแบรนด์ แล้ว อันดับที่ 1 ได้แก่ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมจากกีฬาฟุตบอล มูลค่า 2.23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 66,900 ล้านบาท) ... อันดับที่ 2 ได้แก่ทีม รีล มาดริด ทีมจากกีฬาฟุตบอล มูลค่า 1.88 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 56,400 ล้านบาท)... อะไรจะมากมายมหาศาลประมาณนั้น ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกว่าอุตสาหกรรมกีฬาถ้ามันเจริญเติบโตแล้วมันมีมูลค่ามหาศาลครับพี่น้อง ลองดูแค่ไทยพรีเมียลีคในปีที 2555 ที่ผ่านมาก็มีมูลค่าเฉพาะ ค่าตั๋วเข้าชมและขายของที่ระลึกก็มีมูลค่าถึง 171 ล้านบาทเศษ ไม่นับมูลค่าอื่นๆนะครับ.......
แล้วจะทำอย่างไรที่จะทำให้มูลค่าของอุตสาหกรรมกีฬานี้เติบโตอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดนั้นคงเป็นคำถามที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันส่งเสริมและพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น การกีฬาแห่งประเทศไทย สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญที่สุดคือภาคเอกชนให้การสนับสนุน และอีกเหตุปัจจัยหนึ่งก็คือ นักกีฬาเรามีความสามารถในระดับโลก ซึ่งในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมานั้นเราเห็นว่าวงการกีฬาของเราพัฒนาไปมากพอสมควร และเป็นที่น่ายินดีว่าเรามีนักกีฬาระดับโลกเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทควันโด วอลเลย์บอลหญิง และ แบดมินตัน


11 สิงหาคม 2556 ประวัติศาตร์ของวงการแบดมินตันโลกและของประเทศไทย จะต้องจารึกไว้ว่าน้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ อายุแค่ 18 ปี 6 เดือน กะ 6 วัน ได้เป็นแชมป์โลกแบดมินตัน สามารถเอาชนะมือหนึ่งของประเทศจีนได้ในประเทศจีน ความสำเร็จในวันนี้คงมีหลายเหตุปัจจัยโดยที่เราไม่ควรละเลยหรือมองข้ามไปก็คือ โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอดโดยคุณกมลา ทองกร ที่เริ่มต้นจากความรักในกีฬาแบดมินตัน และอยากให้ลูกๆได้เล่นกีฬานี้และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นสถาบันที่สร้างนักแบดมินตันให้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น สุดเขต ประภากมล ทรงพล อนุกฤตยาวรรณ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วก็ด้วยการสนับสนุนจากภาคเอกชน คือ SCG ที่ให้การสนับสนุนวงการแบดมินตันไทยมานักหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยวันนี้ได้มีโอกาสชื่นชมกับความสำเร็จของน้องๆนักแบดมินตันชาวไทย แม้จะยังไม่สามารถหยิบเหรียญโอลิมปิคมาได้แต่ก็เฉียดไปเฉียดมา และเชื่อได้ว่าโอลิมปิค 2516 ที่บราซิลเราน่าจะได้เหรียญใดเหรียญหนึ่งที่นอกเหนือจากเทควันโด และมวยสากลสมัครเล่นแล้ว


ไม่ทราบมีใครสังเกตุหรือเปล่าครับว่า “น้องนก” นั้นเขาเล่นกีฬาด้วยความสุข ตีไปยิ้มไปแม้จะตีเสียก็ยังยิ้มไม่เห็นว่าน้องเค้าส่ายหัวเลยตลอดการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ตรงกันข้ามเสียอีกนักแบดมือหนึ่งของจีนต่างหากที่ดูเคร่งเครียด ซึ่งถ้าว่าไปตามฟอร์มการเล่นแล้วเค้ามีภาษีดีกว่าน้องนกอยู่หลายขุม และด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ทำให้รู้สึกกดดัน เพราะน้องนกถึงแพ้ก็เสมอตัวแต่ชนะละก็บะลึ้มฮึ่มเลยตีแบบสบายๆถ้าคิดแค่นั้นก็อาจจะใช่ แต่เท่าที่ได้ดูการแข่งขันของน้องนกทางทีวีอยู่บ่อยๆก็จะเห็นว่านี่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของน้องนกเค้า ไม่ว่าจะตีกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนกว่าหรือแข็งกว่าน้องเค้ายิ้มอยู่เสมอไม่ว่าจะตีดีหรือเสีย ยิ่งมาได้ฟังน้องนกมาให้สัมภาษณ์รายการเจาะข่ายเด็นในวันรุ่งขึ้นของป๋าสรยุทธ ( เสือปืนไวจริง ๆ ที่คว้าน้องเค้ามาออกรายการแรกได้) น้องนกให้สัมภาษณ์ว่าคู่ต่อสู้รู้สึกเครียดและนั่งนิ่งๆก่อนการแข่งขัน (พวกเราไม่เห็นบรรยากาศก่อนก่อนแข่งขัน) ก็เลยอนุมานเอาว่าน้องเค้าสมาธิและใจเขาเป็นสุขที่ได้เล่นกีฬาที่เขารักทำให้เขามีความมุ่งมันในการฝึกซ้อม และประสบความสำเร็จได้ในที่สุดก็น่าจะได้ประกอบการกับการได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนนั้นเอง อ้อ .........อีกสองประเด็นที่เป็นความงดงามที่อยากจะฝากไว้ ก็คือในเกมส์แรกที่น้องนกตามอยู่ถึง 19 ต่อ 12 ห่างกันถึง 7 แต้ม และใครเลยจะเชื่อว่าน้องนกสามารถสู้จนมาดิวส์และชนะไปในที่สุด 22 ต่อ 20 ได้ แสดงว่าใจต้องนิ่งจริงๆ.... และการไหว้ของน้องนกนั้นถ้าเราได้สังเกตุก็จะพบว่าเธอไหว้แตกต่างจากนักกีฬาคนอื่นๆ เพราะเธอไหว้คนดู ไห้วคู่แข่งขันเพื่อขอโทษเวลาตบเข้าตัว (งดงาม) ไห้วกรรมการก่อนจับมือหลังจากการแข่งขัน ไห้วโค้ช และ ที่สำคัญเธอไห้ว...........แม้กระทั่ง คนมาเช็ดสนาม ....ไม่เรียกว่าเก่งและแสนดีแล้วเราจะเรียกเธอว่าอะไรดีละครับ เป็นวัฒนธรรมไทยๆที่แสนจะชินตาแต่มันงดงามกว่าคนอื่นๆตรงที่เธอปฎิบัติต่อทุกคน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตามเพื่อแสดงความขอบคุณ แสดงความขอโทษ แสดงความยินดี และ.........................................แสดงความเป็นไทย..........................

1 ความคิดเห็น:

  1. เธอไหว้ขอบคุณตอนขอเปลี่ยนลูกด้วย ซึ่งก็น่ารักดี เสียแต่ว่าเธอก้มศีรษะต่ำไปหน่อยในบางครั้ง เรียกว่าแทบจะเหมือนคนญี่ปุ่นโค้งคำนับเลยทีเดียวเจียว

    แต่ก็ยังดีที่ไม่ย่อตัว

    ตอบลบ

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...