ทีนี้มาดูสาเหตุกันเพราะว่าโดยภาพรวมหรือที่เรียกว่าเศรษฐกิจมหภาคนั้น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่างสามารถวัดได้จากการเจริญเติบโตของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product: GDP) ซึ่หมายถึง มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง
ๆ โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงมาตรฐานการครองชีพของ ประชากรในประเทศนั้น ๆ
แต่ก็ไม่สามารถวัดถึงขีดความสามารถในการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม หรือบ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่แท้จริงได้ แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนก็เป็นสิ่งสำคัญในการเจริญเติบโตของประเทศ
วิธีการวัด GDP ด้วยรายจ่ายเป็นวิธีที่พื้นฐานที่สุดในการวัดและเข้าใจ GDP ดังนั้น ซึ่งมีเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่
4 ตัว อธิบายตัวแปรในสมการที่คำนวณ GDP ด้วยการวัดรายจ่าย ดังต่อไปนี้ซึ่งในแต่ละเครื่องยนต์นี้มีปัญหาอุปสรรคมากมาย
GDP = C + I + G + NE หรือ C + I + G + (X - M)
Consumption (C) หมายถึง การบริโภคภาคเอกชน (Private consumption) ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลแทบทั้งหมดเช่น อาหาร ค่าเช่า ค่ายา แต่ไม่รวมการซื้อบ้านหลังใหม่ ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้เดี้ยงไปด้วยสาเหตุหลายประการ ประการแรกเลยคือสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ไม่ว่าจะข้าว ยาง ฯลฯ
ซึ่งเป็นสินค้าหลักของประเทศ
นอกจากนี้แล้วความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคที่ลดลง
โดยดูจากดัชนีควาเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง มกราคม อยู่ที่ 80.4 กุมภาพันธ์ ลดเหลือ 79.1
นับเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่อง 3
เดือนแล้ว
และยังไม่มีแนวโน้มหรือสัญญาณใดๆว่าจะดีขึ้นในสองสามเดือนข้างหน้า
สินค้าส่งออกลดลงเป็นเดือนที่สามอีกเช่นกันมันก็มีผลกระทบต่อกำลังผลิต การจ้างงาน
และความแน่นอนของเศรษฐกิจ
เป็นปัญหาลูกโซ่
Investment (I) หมายถึง การลงทุนของธุรกิจในสินค้าทุน เช่น การก่อสร้างเหมืองแร่ใหม่ การซื้อซอฟต์แวร์ การซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรสำหรับโรงงาน เป็นต้น เมื่อการบริโภคลดลง
การส่งออกลดลง
มันก็มีผลให้การลงทุนลดลงเป็นเงาตามตัว
เพราะการบริโภค และการส่งออก(ก็คือการบริโภคของลูกค้าในต่างประเทศ) หากมีคนซื้อคนขายย่อมต้องผลิตและสรรหาสินค้ามานำเสนออย่างแน่อน
ยกเว้นอยู่อย่างเหนึ่งว่าถ้าการใช้จ่ายของรัฐบาลมีการลงทุนฯลฯ ก็จะทำให้การลงทุนเติบโตได้เช่น
รัฐมีเมกะโปรเจค
เช่นโครงการบริหารจัดการน้ำ
รถไฟความเร็วสูง การคมนาคมขนส่ง
ฯลฯ ก็จะเป็นตัวช่วยอยู่แรงหนึ่ง
Government Spending (G) หมายถึง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ซึ่งรวมถึงเงินเดือนของข้าราชการ การซื้ออาวุธทางทหาร และค่าใช้จ่ายลงทุนของรัฐ ซึ่งปรากฎตัวเลข ณ วันที่ 6 มีนาคม ของสำนักงบประมาณ (คือ 5 เดือน 6
วัน ของงบประมาณ 2557-58 ) ปรากฏว่า
มีปัญหาโดยผมจะแยกเป็นส่วนๆดังนี้
งบประจำ อันได้แก่เงินเดือน และค่าใช้จ่ายประจำ 2.1 ล้านล้าน
83.6% ของงบประมาณทั้งหมดสามารถเบิกจ่ายได้ถึง 48 %
ซึ่งไม่แปลกเพราะชื่อก็บอกแล้วเป็นค่าใช้จ่ายประจำก็ต้องจ่ายประจำ
งบลงทุน ที่จะมาสร้างสาธารณูปโภค และ
โครงการต่างๆที่จะทำให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น มีงบประมาณแค่ 0.449
ล้านล้านบาท( ประมาณ 5 แสนล้านบาท)
ปรากฏว่าเบิกจ่ายได้แค่ 19 % เท่านั้นทั้งที่ผ่านมาเกือบจะครึ่งปีงบประมาณเท่านั้น
ส่วนสาเหตุของการล่าช้านั้นก็ต้องไปแสวงหาเอาเองครับท่าน
แต่ที่สงสัยคือประเทศไทยยิ่งปฎิรูประบบอะไรมันก็วนไปวนมา
แถมหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้นเป็นลำดับแทนที่จะกระชับ มีประสิทธิภาพ
หรืออย่างการศึกษาเมื่อก่อนก็แยกกันระหว่างประถมกับมัธยม ก็เอามารวมกันเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาวันนี้จะกลับไปเหมือนเดิมแล้ว เพลียใจประเทศไทยจริงๆ
Net Exports (NE) หมายถึง การส่งออกสุทธิ หรือการส่งออก (X) ลบด้วยการนำเข้า (M) นั่นเอง ที่ต้องลบการนำเข้าเพราะตัวเลขการบริโภคสินค้าและบริการที่นำเข้ามาบริโภคจะ รวมไว้ใน C,
I, และ G ซึ่งเดือน
มกราคมก็ติดลบ
กพ.ก็คาดว่าจะติดลบเช่นเดียวกัน
เพราะยอดส่งออกติดลบทั้งสองเดือนเมื่อเที่ยบกับเดือนเดียวกันของปี
2557
ก็ได้แต่โทษว่าเศรษฐกิจโลกชลอตัว
(แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ??)
สรุปสุดท้ายเครื่องยนต์ทั้ง 4
ตัวเดี้ยงหมดแล้วเศรษฐกิจไทยจะไปทางไหนใยถึงยังไม่ฟื้นคงได้คำตอบแล้วนะครับ แต่ในข่าวร้ายก็ยังมีข่าวดีเล็กๆหลงเข้ามาเหมือนกันก็คิ “การท่องเที่ยว” มาเป็นพระเอกหลังจากที่ปี 2557
ตัวเลขนักท่องเที่ยวติดลบไป 6.6% จาก 26.54 ล้านคน เหลือแค่ 24.74 ล้านคน โดยปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีถึง 27
ล้านคนซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้ (แต่อย่างน้อยที่สุด 26 .54 ล้านได้แน่ๆ) เพราะดูจากตัวเลขเดือนมกราคม 2558
เติบโตถึง 16% มียอดนักท่องเที่ยวถึง
2.28 ล้านคน
โดยตลาดที่เดิบโตอย่างมีนัยะสำคัญคงไม่แปลที่จะบอกว่า จีน เพิมขึ้นถึง 83% จำนวนนักท่องเที่ยว 3.5 แสนคน
เวียดนาม ที่เดิบโตถึง 56% บังคลาเทศ 75% เนปาล 33% สิงคโปร์ 49% แน่นอนว่ายุโรปติดลบ -14% อเมริกา บวก 1%
ก็ถือว่าเป็นตัวช่วยตัวเดียวที่ยังทำงานอยู่ก็ขอภาวนาให้สงกรานต์นี้เข้ามากันเยอะๆนะโยม ไม่งั้นอาตมาต้องเผาจริงแล้ว
..............เศรษฐกิจไทย.....###