วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

“เวียดนามตามไทยติด (มั้ย) ?? ”





                ผมไปเวียดนามครั้งแรกเมื่อปี   1996 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว                 แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลยจนมาถึงปี   2003 หรือเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา               ได้มีโอกาสกลับไปเวียดนามอีกครั้งหนึ่งและหลังจากนั้นก็เดินทางไปเวียดนามทุกปี  เพราะมีลูกค้าซึ่งนำสินค้าสีพิมพ์ผ้าของผมไปขาย  ผมได้เป็นพัฒนาการของเวียดนามโดยเฉพาะโฮจิมินท์ตลอดระยะเวลา   13 ปี  และปี 2015 ผมได้เดินทางไปฮานอย   ยอมรับว่าน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้เวียดนามจะตามไทยทันหรือไม่  อาจไม่ใช่ในช่วงอายุผมแต่เชื่อได้ว่าช่วงอายุของลูกคงได้เห็นเวียดนามตามไทยทันแน่
                เอเยนต์ผมในเวียดนามครั้งแรกที่มาพบผมและขอเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าผมในเวียดนามถามผมว่า “พิกเมนท์ (ชื่อกลุ่มสินค้า) เอาไปทำอะไร?”    ก็อึ่งกิมกี่เพราะคุณจะขายสินค้าผมแต่คุณยังไม่รู้เลยว่าสินค้านั้นเอาไปทำอะไร  แต่ด้วยความที่ผมก็ยังไม่มีใครเป็นคู่ค้าในเวียดนามก็เลยตามรับไป  แบบ มั่ว ๆ งง ๆ  ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาแค่ 2 ปีเขาสามารถมียอดซื้อถึงประมาณ 70,000 เหรียญสหรัฐ ตกปีละประมาณ 2 ล้านบาทเศษ  มาปีที่แล้วมียอดขายถึง  160,000 เหรียญสหรัฐ  คิดเป็นเงินไทยเกือบ 6 ล้านบาท  นี่คงเป็นผลมาจากความมุ่งมั่นและอดทนประกอบกับความเพรียพยายามจากยอดขาย 0 บาทเป็น 6 ล้านบาท 

                บางคนอาจคิดค้านอยู่ในใจว่าเวียดนามไม่มีทางตามเราทัน  แต่ผมขอถามกลับว่าทำไมเราตามมาเลเซียทัน  นำฟิลิปปินส์  และอินโดนิเซีย  และที่สำคัญทำไมเกาหลีถึงแซงเราไปได้ตอนประมาณปี 1970 ประเทศไทยต้องจัดกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ครั้งที่ 6   แทนเกาหลีใต้เนื่องจากเขาไม่มีเงินจัดการแข่งขัน  แต่มาวันนี้เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิคและฟุตบอลโลกไปแล้ว  อย่าคิดว่าคู่แข่งขันไม่มีทางตามเราทันหรือชนะเรา  ถ้าคิดอย่างนี้เราก็จะตกอยู่ในความประมาท  เกือบทุกครั้งในเวลากลางคืนขณะเดินทางกลับที่พักผมเห็นเยาวชนเวียดนามเดินทางไปเรียนหลักสูตร  หรือเรียนพิเศษต่าง ๆ สอบถามจากเอเยนต์ก็ทราบว่าเยาวชนเวียดนามจะเรียนหลักสูตรอะไรบางอย่างในเวลากลางคืนเพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้  เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงานในอนาคต  ผมเคยยกตัวอย่างว่าประเทศที่ผ่านสงครามประชาชนจะถูกกดดันจากสภาพแวดล้อมทำให้มีความมุมานะอดทน  ตัวอย่างเช่น  เยรมัน  ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้  และเวียดนามที่ตามเรามาติด ๆ

                การเจริญเติบโตทางเศษฐกิจของเวียดนามเป็นไปอย่างค่อนข้างสม่ำเสมอโดยมีภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมเอกชนทำให้สามารถขับเคลื่อนเศษฐกิจได้อย่างเหมาะสม ปีที่ผ่านมา GDP / PER CAPITA  เวียดนาม อยู่ที่  2,321 ส่วนของไทยอยู่ที่  5,426 $   หรือประมานครึ่งหนึ่งของไทย    วันนี้เวียดนามกำลังทำรถไฟใต้ดินสายแรกในโฮจิมินท์   นิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเพื่อรองรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ  ค่ายอมตะก็ไปเปิดนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง  อีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่เติบโตอย่างเก้ากระโดดคือ  อิเล็คโทรนิกส์  เครื่องใช้ไฟฟ้า  โทรศัพท์มือถือ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ซัมซุง 

              กลับมาดูประเทศไทยของเราตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาก็วนเวียนอยู่กับปัญหาทางการเมือง  ที่นับวันจะหาทางลงไม่เจอ  ตอนนี้ลามมาถึงปัญหาทางศาสนาก็ยิ่งทำให้หดหู่ใจ  หันไปอีกทางหนึ่งก็พบแต่  ”ลูกเทพ”  ซึ่งจริง ๆ แล้วก็แค่เป็นกระแสที่ผ่านมาแล้วก็คงจะผ่านเลยไปแต่ทำไมสายการบินถึงจุดประเด็นขายบัตรโดยสารลูกเทพ  ไม่รู้ซีอีโอคิดได้อย่างไร จนทำให้ธุรกิจน้อย – ใหญ่ เกาะกระแสไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร  โรงเรียนสอนภาษา  แถมด้วยศัลยกรรมเสริมความงาม  ฯลฯ  แล้วทำไมเวียดนามจะตามไทยไม่ทัน......หุ...หุ @@@@

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...