วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ข้าว.....ชาวนา....และประเทศไทย......



         


              และแล้วกงล้อก็หมุนกลับมาที่เดิม “ช้าว”  ตอนเด็กๆเคยท่องจำ ( ขอย้ำต้องท่องจำเพราะจะออกสอบ) ว่าสินค้าส่งออกหลักของประเทศไทยคือ  ข้าว  ไม้สัก  ยางพารา  แล้วก็เห็นสรรเสริญกันว่าชาวนาคือกระดูกสันหลังของประเทศผ่านมาไม่รู้กี่รัฐบาล  กี่นายกรัฐมนตรี  กี่รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร  ฯลฯ   ปัญหาก็ยังหมักหมมอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  
            ชาวนายังจนอยู่เหมือนเดิม
            ชาวนายังมีหนี้สินอยู่เหมือนเดิม
            ขาวนาผูกคอตายเหมือนเดิม
                        หาวิธีแก้ปัญหามาทุกรัฐบาล  ได้ยินได้ฟังว่าจะมีการลงทะเบียนเกษตรกร ซึ่งก็ได้ลงทะเบียนแล้วจริงๆ  วันนี้เรารู้แล้วว่ามีชาวนนากี่คน  กี่ครอบครัว /กี่ไร่    ปัญหาก็ยังแก้แบบเดิม 
            จำนำข้าว   15,000
            จำนำยุ้งฉาง (เหมือนกันป่าวก็ไม่รู้)  13,000
            ประกันราคาข้าว
                        หุหุ......ปัญหาก็วนไปวนมา    ปัญญาอันน้อยนิดของผมคิดได้ง่ายๆตามหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น  ซึ่งต้องลงทะเบียนสองครั้งกว่าจะผ่าน  ตอนเรียน ป.ตรี  อิอิ  เพราะมิดเทอมไม่รอดแน่เลยดร้อปไปก่อนไม่ให้เสียประวัติ  5555
            บริหาร     อุปสงค์  กับ  อุปทาน    คิดได้นะแต่ก็ทำยากเหมือนกันเพราะว่าอะไร ก็ไม่รู้   หรือเป็นกรรมของประเทศไทยนินิ    บ้างก็ว่าเพราะนักการเมือง  บ้างก็ว่าเพราะโรงสี  บ้างก็ว่าเพราะพ่อค้าส่งออก  โอ้ย.....ดีแต่โทษกันไปมา  แล้วเสนอทางออกให้ประเทศได้หรือไม่  ไอ้เรืองขอเอาสมองอันน้อยนิดนี้เสนอทางออก  (หรือทางตันยิ่งขึ้นก็ไม่รู้)  ดังนี้
            1.จากบัญชีเกษตรกรชาวนาที่มีอยู่  ให้  TDRI    หรือใครสักหน่วยงานลองคำนวนดูซิว่าเพื่อความอยู่รอดของชาวนา”  ควรจะมีรายได้ที่อยู่รอดที่เท่าใดผมสมมุติว่าเท่ากับ 120,000 ต่อปี ถ้าน้อยกว่านี้ไปทำงานโรงงานดีกว่า ??  แล้วคำนวนย้อนกลับมาที่  ปริมาณที่นา หรือผลผลิต ขั้นต่ำคนละกี่ไร่ หรือกี่ ตัน  ก็ว่าไป     รวมทั้งไปคำนวนต้นทุนเลยว่าต้นทุนในการปลูกข้าวเป็นเท่าใด  แล้วกำหนดไปเลยครับว่าจะบวกกำไรให้  20 หรือ 25 % แล้วได้เท่ากับรายได้ที่ชาวนาอยู่รอด   ก็เอาราคาต้นทุนการปลูกบวกด้วยกำไรที่คำนวนข้างต้น   แล้วไม่ใช่จำนำครับ.......รับซื้อเลยครับซื้อขาดให้หน่วยงานรัฐที่ต้องซื้อข้าวอยู่แล้ว เช่น หน่วยทหาร / เรือนจำ  หรือหน่วยงานรัฐที่จะทำกิจกรรมเพื่อสังคม   รับซื้อแล้วจ้างโรงสีแปรรูปอันนี้ราคาที่รัฐรับซื้อก็จะถูกกว่าที่ไปประมูลซื้อข้าวจากเอกชน     อันนี้เป็นการทำให้เกษตรกรอยู่ได้ไม่ขาดทุนแน่ๆจากการรับซื้อเท่าที่กำหนดไว้จากการคำนวนตอนต้น  อ้อ...ขอเพิ่มด้วยนะครับประกาศในเน็ตไปเลยว่ามีใครเป็นเกษตรกรในกลุ่มนี้บ้าง  เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้เพราะป้องกันพวกไม่ใช่เกษตรกรที่แท้จริงครับ
            2.เพิ่มขีดความสามารถของการแปรรูปให้เกษตรกร   อันนี้ง่ายนิดเดียวซื้อเครื่องสีข้าว และเครื่องบรรจุ    อบต.ละ 1 ชุดเลยครับ   ค่าใช้จ่ายก็ให้ อบต.เป็นผู้ออก  หรือคิดต้นทุนในการสีข้าวตามปริมาณโดยคิดเฉพาะต้นทุนผันแปรเท่านั้น    ทำให้ต้นทุนของชาวนาถูกลงสามารถแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
            3.เพื่มช่องทางจัดจำหน่ายตรง  ช่วงนี้เห็นทำกันจังเอาข้าวมาจ่ายค่าเทอม   ปั้มน้ำมันอนุญาติให้ชาวนาขายข้าว  มหาวิทยาลัยต่างๆก็เปิดพื้นที่   แต่ขอเถอะ.......................อย่าทำแค่ช่วงนี้   ทำตลอดปีตลอดชาติได้มั๊ย.... น้าขอร้อง..!!!  แต่ผมขอเพิ่มได้หรือไม่  ไปรษณีย์ไทย  เพราะดำเนินการเรื่อง LOGISTIC อยู่แล้ว  มีทรัพยากรบุคคล  เครื่องมือ  ฯลฯ อยู่แล้ว  ธนาคารออมสิน  ธนาคารเพื่อการเกษตร  ปั้ม ปตท.   เปิดขายข้าวให้ชาวนาตลอดปี ตลอดไปได้หรือไม่    แน่นอน....เฟสบุค ไลน์  ลูกชาวนาช่วยพ่อขายข้าวก็ว่ากันไป   
            4.ปีใหม่นี้ซื้อข้าวตรงจากชาวนามาเป็นของขวัญปีใหม่ส่งให้กันแทน  เครื่องดื่ม ของมึนเมา ขนม ช้อคโกแลต ฯลฯ  จากต่างประเทศ  กันดีมั้ยครับ  แต่ขอแบบซื้อตรงจากชาวนา   สหกรณ์การเกษตร
            5.ให้สถาบันการศึกษาของรัฐลงไปช่วยเหลือและแนะนำส่งเสริมเป็นจังหวัดๆไปเรย  ทุกจังหวัดมีมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว  มาบริการท้องถิ่นและชาวนากันเถอะครับ   ผมเคยไปเป็นที่ปรึกษาให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเมื่อหลายปีก่อน  เป็นการสนับสนุนสหกรณ์การเกษตรช่วยทุกอย่างออกแบบถุง  หาตลาด  ทำนามบัตร ทำโบรชัวร์  อบรมพนักงานขาย  อบรมการเก็บเกี่ยว   วางแผนการตลาด  พาไปยังผู้ซื้อข้าวโดยตรง  ฯลฯ ก็นับว่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง   แต่รัฐกำหนดเป็นนโยบายลงมาเลยครับ  1 มหาวิทยาลัย /  1 จังหวัด  (ถ้ามีมหาวิทยาลัยมากก็แบ่งๆกันไปดูแลตามสภาพภูมิศาสตร์ครับ)   อันเนี้เปรียบเสมือนชาวนามีที่ปรึกษาทางธุรกิจและตัดพ่อค้าคนกลางไปในตัว 
            เอาแค่  5  วิธีนี้ก็เชื่อได้ว่าชาวนาอยู่ได้แน่นอน .......ชิมิชิมิ     พรรคการเมืองใดจะเอาไอเดียไปใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงครั้งหน้าก็ไม่ห้ามนะครับ  แต่ขอเครดิตไอ้เรื่องนีสนุงก็พอ....................

1 ความคิดเห็น:

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...