อีก 5 วันก็คริสมาส
อีก 11 วันก็ปีใหม่ แล้วเราก็จะเริ่มปี
2560 แต่ก่อนจะถึง 2560
รัฐบาลก็ออกมาตราการ”ช้อปช่วยชาติ” นี่ถ้าผมไม่ไปช้อปสงสัยถูกหาว่าไม่รักชาติ แถมพอท่านอ่านบทความนี้จบอาจคิดว่าผม “ขายชาติไปเรย” อันนี้ก็ไม่ว่ากัน แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ใช่ว่าจะสักแต่ ติ บ่น โวยวาย
โดยไม่เสนอแนวทางออกไว้ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นทางออก ทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเป็นแค่แนวคิดของคนเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น แน่นอนภาวะเศรษฐกิจทั้งของไทย ทั้งของโลก
อยู่ในช่วงชลอตัวนั่นก็คือขยายตัวไม่มาก ปี
2559 นี้คาดว่า 3.0-3.2 % จากการคาดการณ์ของหลายๆสำนัก
แน่นอนเพราะว่าผมได้เคยเขียนความเห็นไว้ในบทความก่อนหน้านั้นว่า
มันเป็นผลกระทบจากเครื่องยนต์ทั้งสี่ตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ตัวแรกคือการส่งออกเมื่อประเทศต่างๆกำลังซื้อลดลงก็ย่อมกระทบต่อการส่งออก
ง่ายๆคือลูกค้ามีตังซื้อสินค้าเราน้อยลงก็เลยทำให้เราขายของได้น้อยลง แถมคู่แข่งก็ขายสินค้าได้ดีกว่าอันเนื่องมาจาก
ราคา คุณภาพ สินค้าโดนใจมากกว่า อะไรก็ว่ากันไป ตัวที่สองคือใช้จ่ายภาครัฐแม้ว่าจะมีการขับเคลื่อน กระตุ้น
สั่งการ
แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ค่อยขยับเท่าใด
ทั้งนี้อาจมีมาจากหลายสาเหตุเช่นจาก
ระบบ /ระเบียบ แต่ผมเชื่อจริงๆว่าส่วนหนึ่งอาจจะมากจากการเกร็งของข้าราชการเพราะหากพลาดไปนิดเดียวอาจเสียอนาคต หรือติดคุกได้ หรือถูกเรียกค่าเสียหายได้ แถมแนวนโยบายของท่านลุงตู่ก็ดูเหมือนว่าจะเคร่งครัด
(จริงหรือเปล่า ?)
ตัวที่สามคือการลงทุนเมื่อขายสินค้าไม่ดีแมวที่ไหนจะลงทุนละครับ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น “ความเชื่อ” ครับหากเชื่อว่าปีหน้าขายของไม่ดี
กำไรน่าจะได้น้อยใครจะลงทุนเพิ่มครับ
โรงงานก็ยังมีกำลังผลิตเหลือเพราะที่ผ่านมาก็ขายไม่ดี การให้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำๆนั้นช่วยได้ส่วนหนึ่งก็จริงสำหรับผู้ต้องการขยายกำลังผลิตจริง
ก็เหมือนกับวงเงินบัตรเครดิตที่ให้กันมา 5-6 แสน พวกเราใช้กันจริงๆเท่าใดครับ ??
แล้วถ้าลูกค้าเครดิตไม่ดีแบงค์แมวที่ไหนจะปล่อยครับ เค้าก็ต้องหาลูกค้าที่เครดิตดี ธุรกิจดี
ผู้บริหารดี
นี่ไม่ได้โม้นะ..อิอิ.. บริษัทผมมีแบงค์เดินเข้ามาเสนอเงินกู้ตอนนี้นับได้ 6-7 ธนาคารแล้ว ตลาดเป็นของผู้กู้ที่ดีๆครับพี่น้อง
มาเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายคือ
“การบริโภค” นั่นก็คือการจับจ่ายใช้สอยในประเทศการที่เรา ซื้อของกิน ของใช้ ท่องเที่ยว
โน่นนั่นนี่แหละที่เป็นเครื่องยนต์อีกตัวหนึ่ง
แล้วมันก็อิงกับราคาพืชผลการเกษตรเสียด้วยปีนี้สินค้าเกษตรทุกตัวราคาเดี้ยงหมด ต้องมาช่วยซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรงบ้าง อุดหนุนต่อไร่บ้าง ฯลฯ สัญญาณกำลังซื้อระดับรากหญ้าเดี้ยง ดูยอดขายรถยนต์มอเตอร์เอ็กซ์โปซิครับน้อยมากๆเมื่อเที่ยบกับปีที่ผ่านมา
สัญญานกำลังซื้อระดับชนชั้นกลางมีปัญหา ส่วนมาตราการกระตุ้นด้วยการท่องเที่ยวก็ดูเหมือนว่าจะเห็นผลได้อย่าแป็นรูปธรรม เพราะทำให้คนไม่คิดเที่ยวก็อาจจะหันมาเที่ยว (ซึ่งต้องมีเงินพอด้วยนิ )
แต่มามาตราการสุดท้ายของปีนี่ซิ “ช้อป ช่วยชาติ” ชื่อเริดหรูดูดราม่ามาก
แต่เมื่อหันไปดูว่าในประเทศไทยมีประชากร ประมาณ 67 ล้านคน แต่มีคนที่ยื่นภาษีส่วนบุคคลอยู่ 9.79 ล้านคน ในจำนวนนี้ยื่นแต่ไม่ต้องเสียภาษีไปถึง 6.5
ล้านคนซึ่งก็คือคนที่มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 25,000 บาท ทำให้เหลือคนที่เสียภาษีจริงๆ แค่ 3.29 ล้านคนเท่านั้นที่ได้ไประโยชน์ ทีนี้เมื่อหักผู้ที่เสียภาษีแต่รายได้ไม่มากนักคือมีรายได้สุทธิ
150,000-500,000 ซึ่งในกลุ่มนี้มีอยู่ถึง 2.42 ล้านคน
ทำให้เรียกได้ว่าผู้มีรายได้ค่อนข้างสูงเหลืออยู่ค่า 0.87 ล้านคนเท่านั้นเอง
แถมคนส่วนนี้ได้ประโยชน์จากการลดภาษีในจำนวนที่สูงกว่าคนที่มีรายได้ต่ำ ทั้งๆที่ซื้อสินค้าเท่ากันคือ 15,000 บาทนั่นก็คือ 750
กับ 5,250
(คิดในกรณีที่ฐานภาษีต่ำสุด
กับสูงสุด คือ 5 กับ 35 %)
แถมบางคนโดนอำจากโฆษณาอีกว่า หักภาษี15,000
แต่...ที่จริงคือนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ 15,000บาทก่อนนำไปคำนวนภาษี
ดังนั้นหากคนที่ไม่ต้องการซื้อสินค้าไปใช้จริงๆแล้วขาดทุน เพราะซื้อ 15,000 ได้คืนภาษีค่า 750 หรือ สูงสุด 5,250 เท่านั้นเอง
แล้วที่อ้างกันว่าทำให้เกิดการใช้สอยกี่หมื่นล้านบาทนั้นจริงๆแล้ว เป็น “ดีมานด์เทียม” กี่พันล้าน หรืออาจถึงหมี่นล้านก็ได้
ผมไม่ปฎิเสธครับว่ามาตราการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจได้แต่
ตัวเลขที่กล่าวอ้างคงไม่จริงแท้ทั้งหมดเพราะสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นมันมีข้อจำกัดในการบริโภค
เพราะอาจจะซื้อตอนนี้เก็บไว้บริโภคเดือนมกราคมเช่น เคยกินบะหมี่สำเร็จวันละซอง ก็ซื้อตอนนี้ 60
ซองไปเรยเก็บไว้ใช้ปีหน้าได้สองเดือน
แต่จ่ายเงินซื้อไปตอนนี้เพื่อเอาประโยชน์ทางภาษี หรือสินค้าที่ควรจะซื้อเมื่อปลาย พย. ต้น ธค
ก็เก็บมารอซื้อตอนนี้เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะออกมาตราการนี้แน่อนน หรือแทนที่จะรอซื้อ มค กพ. ปีหน้า ก็ซื้อมันเสียก่อนตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง
ณ.เวลานี้นั่นเอง
อ้าว.......แล้วถ้าจะทำให้มันคุ้มค่าละครับทำอย่างไร บอกแล้วผมมีข้อเสนอ ทางเลือก
ทำไมไม่ออกมาตราการ
“ช้อปโอท้อป...ช่วยชาวบ้าน
....แถม ช่วยชาติ “
เพราะอะไรครับต้องเป็นโอท้อป ซึ่งอันนี้รวมถึงจากชาวนา สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร
กลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชน ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกลายเป็นความผิด
แล้วมีใครเคยไปเก็บตัวเลขมั้ยครับที่บอกว่ามาตราการนี้จะกระตุ้นให้มาจดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นเท่าใดครับ ฟันธงไม่มีเลยครับ....... แล้วถ้าซื้อของจากโอท้อป และ กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ นั้นจะทำให้เงินถึงมือคนรากหญ้า / รากแก้ว ได้อย่างตรงที่สุด
ซึ่งเขาเหล่านั้นก็เอามาจับจ่ายใช้สอยเป็นการส่งเงิน เพิ่มเงินในกระเป๋าของคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ โมเดินเทรด
บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า โรงงานขนาดใหญ่
ได้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่นะครับ แต่เขาก็ไม่เพิ่มกำลังการผลิต /
ไม่ลงทุนขยายโรงงาน ครับ
เพราะ สต้อกสินค้าเขายังมีเหลือ เพราะกำลังผลิตยังเหลือเฟือครับ..............โอ้..มีคนแย้งว่าซื้อแล้วไม่มีใบเสร็จก็ง่ายนิดเดียวครับแค่จัดงาน
คาราวาน และให้กระทรวงพานิชย์ หรือ
กรมแมวอะไรก็ได้ออกไปประทับตราเอกสารรับรอง
แหม ใบอนุโมทนาบัตร ปั๊มกันเองเห็นๆก็ยังเอามาหักภาษีได้เรย อ๋อ..ไม่มีกฎหมายรองรับ ก็.ม.44 ซิครับ
ดาบชอลิ้วเฮียงนี้เอามาใช้เรยรับรองเลือดสาดแน่ๆ แล้วอย่าแค่ 15 วัน เอามัน 60 วันเลย 1 พย -31 ธคน อ้อเพิ่มอีกนีสนุงห้างร้านที่เข้าร่วมซื้อจะนำไปหักค่าใช้จ่าย(ไม่ใช่ภาษี)
ได้ 1.5-2.0เท่าก็ว่าไป
รับรองห้างร้านต่างๆจะหันมาหนับหนุนดีกว่าไปซื้อ ช้อคโกแลต เหล้าต่างประเทศ ผลไม้ต่างประเทศ
เป็นของขวัญปีใหม่
....คราวหน้าเลือกผมเป็น รมต.เศรษฐกิจซักกระทรวงซิครับ พี่น้องเอ้ย...@@@@@@@@..............