วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

“ช้อป....ช่วยชาติ...หรือ ???”



          


         อีก 5 วันก็คริสมาส อีก 11 วันก็ปีใหม่  แล้วเราก็จะเริ่มปี 2560     แต่ก่อนจะถึง 2560 รัฐบาลก็ออกมาตราการ”ช้อปช่วยชาติ”  นี่ถ้าผมไม่ไปช้อปสงสัยถูกหาว่าไม่รักชาติ  แถมพอท่านอ่านบทความนี้จบอาจคิดว่าผม “ขายชาติไปเรย”  อันนี้ก็ไม่ว่ากัน  แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ใช่ว่าจะสักแต่ ติ บ่น โวยวาย  โดยไม่เสนอแนวทางออกไว้ซึ่งไม่ได้บอกว่าเป็นทางออก ทางเลือกที่ดีกว่า   เพราะเป็นแค่แนวคิดของคนเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น    แน่นอนภาวะเศรษฐกิจทั้งของไทย ทั้งของโลก อยู่ในช่วงชลอตัวนั่นก็คือขยายตัวไม่มาก  ปี 2559 นี้คาดว่า 3.0-3.2 % จากการคาดการณ์ของหลายๆสำนัก
            แน่นอนเพราะว่าผมได้เคยเขียนความเห็นไว้ในบทความก่อนหน้านั้นว่า  มันเป็นผลกระทบจากเครื่องยนต์ทั้งสี่ตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ   ตัวแรกคือการส่งออกเมื่อประเทศต่างๆกำลังซื้อลดลงก็ย่อมกระทบต่อการส่งออก  ง่ายๆคือลูกค้ามีตังซื้อสินค้าเราน้อยลงก็เลยทำให้เราขายของได้น้อยลง  แถมคู่แข่งก็ขายสินค้าได้ดีกว่าอันเนื่องมาจาก ราคา คุณภาพ สินค้าโดนใจมากกว่า อะไรก็ว่ากันไป     ตัวที่สองคือใช้จ่ายภาครัฐแม้ว่าจะมีการขับเคลื่อน  กระตุ้น  สั่งการ  แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ค่อยขยับเท่าใด  ทั้งนี้อาจมีมาจากหลายสาเหตุเช่นจาก  ระบบ /ระเบียบ  แต่ผมเชื่อจริงๆว่าส่วนหนึ่งอาจจะมากจากการเกร็งของข้าราชการเพราะหากพลาดไปนิดเดียวอาจเสียอนาคต  หรือติดคุกได้ หรือถูกเรียกค่าเสียหายได้   แถมแนวนโยบายของท่านลุงตู่ก็ดูเหมือนว่าจะเคร่งครัด (จริงหรือเปล่า ?)    ตัวที่สามคือการลงทุนเมื่อขายสินค้าไม่ดีแมวที่ไหนจะลงทุนละครับ  แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น “ความเชื่อ” ครับหากเชื่อว่าปีหน้าขายของไม่ดี กำไรน่าจะได้น้อยใครจะลงทุนเพิ่มครับ  โรงงานก็ยังมีกำลังผลิตเหลือเพราะที่ผ่านมาก็ขายไม่ดี   การให้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำๆนั้นช่วยได้ส่วนหนึ่งก็จริงสำหรับผู้ต้องการขยายกำลังผลิตจริง ก็เหมือนกับวงเงินบัตรเครดิตที่ให้กันมา 5-6 แสน พวกเราใช้กันจริงๆเท่าใดครับ ??   แล้วถ้าลูกค้าเครดิตไม่ดีแบงค์แมวที่ไหนจะปล่อยครับ  เค้าก็ต้องหาลูกค้าที่เครดิตดี  ธุรกิจดี  ผู้บริหารดี  นี่ไม่ได้โม้นะ..อิอิ.. บริษัทผมมีแบงค์เดินเข้ามาเสนอเงินกู้ตอนนี้นับได้  6-7 ธนาคารแล้ว  ตลาดเป็นของผู้กู้ที่ดีๆครับพี่น้อง
            มาเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายคือ “การบริโภค”  นั่นก็คือการจับจ่ายใช้สอยในประเทศการที่เรา  ซื้อของกิน ของใช้  ท่องเที่ยว โน่นนั่นนี่แหละที่เป็นเครื่องยนต์อีกตัวหนึ่ง  แล้วมันก็อิงกับราคาพืชผลการเกษตรเสียด้วยปีนี้สินค้าเกษตรทุกตัวราคาเดี้ยงหมด  ต้องมาช่วยซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรงบ้าง  อุดหนุนต่อไร่บ้าง ฯลฯ สัญญาณกำลังซื้อระดับรากหญ้าเดี้ยง  ดูยอดขายรถยนต์มอเตอร์เอ็กซ์โปซิครับน้อยมากๆเมื่อเที่ยบกับปีที่ผ่านมา สัญญานกำลังซื้อระดับชนชั้นกลางมีปัญหา    ส่วนมาตราการกระตุ้นด้วยการท่องเที่ยวก็ดูเหมือนว่าจะเห็นผลได้อย่าแป็นรูปธรรม  เพราะทำให้คนไม่คิดเที่ยวก็อาจจะหันมาเที่ยว  (ซึ่งต้องมีเงินพอด้วยนิ  )   
            แต่มามาตราการสุดท้ายของปีนี่ซิ  “ช้อป  ช่วยชาติ”  ชื่อเริดหรูดูดราม่ามาก  แต่เมื่อหันไปดูว่าในประเทศไทยมีประชากร ประมาณ 67 ล้านคน  แต่มีคนที่ยื่นภาษีส่วนบุคคลอยู่ 9.79 ล้านคน  ในจำนวนนี้ยื่นแต่ไม่ต้องเสียภาษีไปถึง 6.5 ล้านคนซึ่งก็คือคนที่มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 25,000 บาท   ทำให้เหลือคนที่เสียภาษีจริงๆ แค่  3.29  ล้านคนเท่านั้นที่ได้ไประโยชน์    ทีนี้เมื่อหักผู้ที่เสียภาษีแต่รายได้ไม่มากนักคือมีรายได้สุทธิ 150,000-500,000  ซึ่งในกลุ่มนี้มีอยู่ถึง  2.42 ล้านคน  ทำให้เรียกได้ว่าผู้มีรายได้ค่อนข้างสูงเหลืออยู่ค่า  0.87 ล้านคนเท่านั้นเอง  แถมคนส่วนนี้ได้ประโยชน์จากการลดภาษีในจำนวนที่สูงกว่าคนที่มีรายได้ต่ำ   ทั้งๆที่ซื้อสินค้าเท่ากันคือ 15,000 บาทนั่นก็คือ  750  กับ 5,250  (คิดในกรณีที่ฐานภาษีต่ำสุด  กับสูงสุด  คือ 5  กับ 35  %) แถมบางคนโดนอำจากโฆษณาอีกว่า  หักภาษี15,000  แต่...ที่จริงคือนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ 15,000บาทก่อนนำไปคำนวนภาษี  ดังนั้นหากคนที่ไม่ต้องการซื้อสินค้าไปใช้จริงๆแล้วขาดทุน  เพราะซื้อ 15,000 ได้คืนภาษีค่า 750 หรือ สูงสุด 5,250 เท่านั้นเอง
            แล้วที่อ้างกันว่าทำให้เกิดการใช้สอยกี่หมื่นล้านบาทนั้นจริงๆแล้ว   เป็น “ดีมานด์เทียม” กี่พันล้าน หรืออาจถึงหมี่นล้านก็ได้  ผมไม่ปฎิเสธครับว่ามาตราการนี้กระตุ้นเศรษฐกิจได้แต่  ตัวเลขที่กล่าวอ้างคงไม่จริงแท้ทั้งหมดเพราะสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นมันมีข้อจำกัดในการบริโภค  เพราะอาจจะซื้อตอนนี้เก็บไว้บริโภคเดือนมกราคมเช่น  เคยกินบะหมี่สำเร็จวันละซอง ก็ซื้อตอนนี้ 60 ซองไปเรยเก็บไว้ใช้ปีหน้าได้สองเดือน  แต่จ่ายเงินซื้อไปตอนนี้เพื่อเอาประโยชน์ทางภาษี   หรือสินค้าที่ควรจะซื้อเมื่อปลาย พย. ต้น ธค ก็เก็บมารอซื้อตอนนี้เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะออกมาตราการนี้แน่อนน   หรือแทนที่จะรอซื้อ มค  กพ. ปีหน้า ก็ซื้อมันเสียก่อนตอนนี้   ซึ่งไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง ณ.เวลานี้นั่นเอง 
            อ้าว.......แล้วถ้าจะทำให้มันคุ้มค่าละครับทำอย่างไร   บอกแล้วผมมีข้อเสนอ  ทางเลือก   ทำไมไม่ออกมาตราการ
                   “ช้อปโอท้อป...ช่วยชาวบ้าน ....แถม ช่วยชาติ “ 
เพราะอะไรครับต้องเป็นโอท้อป  ซึ่งอันนี้รวมถึงจากชาวนา  สหกรณ์การเกษตร  กลุ่มเกษตรกร  กลุ่มแม่บ้าน  วิสาหกิจชุมชน   ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกลายเป็นความผิด  แล้วมีใครเคยไปเก็บตัวเลขมั้ยครับที่บอกว่ามาตราการนี้จะกระตุ้นให้มาจดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นเท่าใดครับ  ฟันธงไม่มีเลยครับ.......     แล้วถ้าซื้อของจากโอท้อป และ กลุ่มเกษตรกร ฯลฯ นั้นจะทำให้เงินถึงมือคนรากหญ้า / รากแก้ว  ได้อย่างตรงที่สุด   ซึ่งเขาเหล่านั้นก็เอามาจับจ่ายใช้สอยเป็นการส่งเงิน  เพิ่มเงินในกระเป๋าของคนส่วนใหญ่ของประเทศ   แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้  ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่  โมเดินเทรด  บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า  โรงงานขนาดใหญ่ ได้ประโยชน์เป็นส่วนใหญ่นะครับ  แต่เขาก็ไม่เพิ่มกำลังการผลิต  /  ไม่ลงทุนขยายโรงงาน ครับ  เพราะ  สต้อกสินค้าเขายังมีเหลือ  เพราะกำลังผลิตยังเหลือเฟือครับ..............โอ้..มีคนแย้งว่าซื้อแล้วไม่มีใบเสร็จก็ง่ายนิดเดียวครับแค่จัดงาน คาราวาน และให้กระทรวงพานิชย์ หรือ กรมแมวอะไรก็ได้ออกไปประทับตราเอกสารรับรอง  แหม ใบอนุโมทนาบัตร ปั๊มกันเองเห็นๆก็ยังเอามาหักภาษีได้เรย   อ๋อ..ไม่มีกฎหมายรองรับ ก็.ม.44 ซิครับ  ดาบชอลิ้วเฮียงนี้เอามาใช้เรยรับรองเลือดสาดแน่ๆ  แล้วอย่าแค่ 15 วัน  เอามัน 60 วันเลย 1 พย -31 ธคน  อ้อเพิ่มอีกนีสนุงห้างร้านที่เข้าร่วมซื้อจะนำไปหักค่าใช้จ่าย(ไม่ใช่ภาษี) ได้ 1.5-2.0เท่าก็ว่าไป  รับรองห้างร้านต่างๆจะหันมาหนับหนุนดีกว่าไปซื้อ ช้อคโกแลต  เหล้าต่างประเทศ ผลไม้ต่างประเทศ เป็นของขวัญปีใหม่
....คราวหน้าเลือกผมเป็น  รมต.เศรษฐกิจซักกระทรวงซิครับ  พี่น้องเอ้ย...@@@@@@@@..............

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...