วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

“เศรษฐกิจโต โม้อะป่าว”



              


             “กนง.ปรับคาดการณ์จีดีพีโตเพิ่มจาก 3.4% เป็น 3.5% หลังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน พร้อมปรับส่งออกโตเป็น 5% จากเดิมอยู่ที่ 2.2%”    เป็นข่าวจาก ฐานเศรษฐกิจ  เมื่อ 2 กรกฏาคม 2560  และเราก็ได้รับทราบข่าวคราวว่าเศรษฐกิจไทยโตขยายตัว จาก 2 เป็น 3 เป็น 3.5 เปอร์เซนต์  ดูเหมือนว่าดีขึ้นเรื่อยๆเป็นระยะๆ   แต่ก็มีคนสงสัยโดยเฉพาะชาวบ้าน แบบรากหญ้าว่า   ทำไมพวกเขาไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีเรย  เพราะทำมาค้าขายไม่คล่องเหมือนเมื่อก่อนนี้   แม้จะได้ยินว่า  ส่งออกเติบโต  การลงทุนภาครัฐอัดฉีดงบประมาณ   ฯลฯ    แล้วเศรษฐกิจไทยโตจิงอะป่าว........   เสาร์อาทิตย์ไปเดินเซ็นทรัล  ปรากฏว่าไม่คึกคักเท่าที่ควร  ลองไปวันธรรมดาดูซิครับเงียบจนพนักงานนั่งตบยุงกันเรย    ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผย ดัชนีอุตสาหกรรมค้าปลีกไตรมาสแรกปี 60 โต 3.02% แต่ย้ำต้องเฝ้าระวังต่อเพราะการจับจ่ายยังไม่แจ่มใส ดัชนีค้าปลีกครึ่งปีแรกอาจต่ำกว่า 3%  จากเมเนเจอร์ออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2560

   ............อันนี้ก็ต้องขอบอกว่าโตจริง  ++++      อ้าวแล้วไหงชาวบ้านร้านตลาดถึงได้บ่นกันเป็นหมีกินผึ้งละครับ   ซึ่งจะขออธิบายเป็นภาษาบ้านๆ  นะครับ  ว่าองค์ประกอบของจีดีพี หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หมายถึง มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ถูกผลิตในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด  ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงมาตรฐานการครองชีพของประชากรในประเทศนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม จีดีพี เป็นดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ แต่ไม่สามารถชี้วัดคุณภาพชีวิตที่แท้จริงได้  มันขึ้นอยู่กับว่าเครื่องยนต์แต่ละเครื่องนั้นวิ่งอย่างสมดุลย์หรือไม่นั่นเอง  ซึ่งเครื่องยนต์ทั้งสี่นั้นเขียนเป็นสมการได้ดังนี้

GDP = รายจ่ายเพื่อบริโภค + รายจ่ายเพื่อการลงทุน + รายจ่ายของรัฐบาล + รายจ่ายสุทธิของต่างประเทศที่ซื้อสินค้าผลิตในประเทศ

หรือ GDP = Consumption + Investment + Government spending + (exports – imports)

  ทีนี้เมื่อดูเครื่องยนต์ทั้งสี่แล้ว จะเห็นได้ว่ามีเครื่องยนต์สองตัวที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  คือ  การใช้จ่ายของรัฐบาล  จากการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างที่นับว่าคืบหน้าพอสมควรทีเดียว  แม้ควรจะไปได้มากกว่านี้แต่ก็ติดขัดที่  ข้าราชการไม่กล้าตัดสินใจอันนี้ไม่รู้ว่า  “ลุงตู่”  ทราบหรือไม่เพราะเห็นบ่นว่าเหนื่อยๆๆ  ครม.มีมติอะไรมากมาย  แต่ไหงงบมันไปค้างท่อต่างๆอยู่มากไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้  แต่ไม่กล้าใช้มากกว่านะครับลุงอะไรไม่ชัวร์ไม่ตัดสินใจกลัวติดคุกแบบไม่ได้ตั้งใจนะเอง   ตัวบ่งชี้คือ  “นับถึง มิถุนายน 2560 เป้าหมายการเบิกจ่าย  73 เปอเซนต์  สามารถเบิกจ่ายได้เพียง 60 เปอร์เซนต์ “  ข้อมูลจากฐานเศรษฐกิจ 1 กันยายน 2560   แต่ก็ยังดีที่เครื่องยนต์ตัวนี้คืองบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐ  สามารถมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้พอสมควร

   เครื่องยนต์ตัวที่สองคือ  การส่งออก-การนำเข้า  ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่สดใสมากนักแต่  เราก็สามารถส่งออกและเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ  “ พาณิชย์เผยยอดส่งออก พ.ค.60 โต 13.2% สูงสุดในรอบ 52 เดือน ส่งผลการส่งออก 5 เดือน ขยายตัว 7.2% สูงสุดในรอบ 6 ปี “   ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ 11 กรกฏาคม 2560  แต่....แต่......  ดุลการค้าในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งมีมูลค่า 6,971 ล้านเหรียญสหรัฐลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ไทยเคยได้ดุลถึง 12,618.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหายไป 5,647.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลมาจากการนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 47 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล นั่นเอง   เรียกว่าขายดีขึ้นแต่กำไรลดลงนั่นเองแต่ก็ยังดีมีกำไรนะครับ

   ส่วนเครื่องยนต์อีกสองตัวนั้นนับว่าน่าเป็นห่วง  เพราะแม้สถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้นเป็นลำดับก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะทำให้เครื่องยนต์อีกสองเครื่องนั้นขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

   การลงทุนภาคเอกชน หรือ  รายจ่ายเพื่อการลงทุน  แม้ส่งออกจะเพิ่มขึ้นก็ตามแต่ว่าก็ยังไม่ถึงกับว่าทำให้กำลังผลิตถึงเกณฑ์ที่จะต้องลงทุนเพื่ม   หรือ  หากอธิบายอีกแบบหนึ่งก็คือ  สมมุติว่าโรงงานทั้งหลายจากเดิมที่เคยผลิตได้ 80  และหากผลิตถึง 90  เมื่อใดก็ต้องวางแผนเพิ่มกำลังผลิตโดยการเพิ่มโรงงาน  เพิ่มเครื่องจัก  หรือปรับปรุงกระบวนการเทคโนโลยี่  ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนนั่นเอง    แต่จากปัญหาในรอบสามสี่ปีที่ผ่านมาโรงงานผลิตแค่ 50-60  ปัจจุบันขายดีขึ้นผลิต 70  ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังผลิต  หรือลงทุนเพิ่มเติมนั้นเอง  

   ส่วนการใช้จ่ายของประชาชนนั้น  ก็มีผลพวงมาจากสามสี่ประการ  อันดับแรกที่เห็นได้ชัดก็คือราคาผลผลิตทางการเกษตร  ตกต่ำทุกตัวไม่ว่าจะเป็น  ข้าว  ยาง  มัน สัปประด ลำใย  ฯลฯ  แล้วเกษตรกรจะมีกำลังซื้อมาจับจ่ายใช้สอยได้อย่างไร   นอกจากภาคเกษตรกรแล้วลองมาดูภาคกรรมกรบ้าง  เมื่อโรงงานผลิตน้อยก็ย่อมลดโอทีลง  เดิมทำสามกะก็เหลือสองกะ  การปรับเงินเดือนก็ไม่ขึ้น หรือขึ้นเล็กน้อย  โบนัสงดหรือให้โบนัสเล็กน้อยเพราะผลประกอบการไม่ดีนั่นเอง    แล้วกำลังซื้อพวกนี้ก็จะไปมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยในภาคค้าปลีก  ตลาดนัด  หาบเร่แผงลอย  สตรีทฟุ้ด  กระทบกันเป็นลูกโซ่นั่นเอง  ........

   ดังนั้นให้สรุปว่า  “เศรษฐกิจโต   โม้อะป่าว”  ขอบอกว่า  “ไม้ได้โม้  (เสียงสูง แบบสมรักษ์) “  แต่ว่ามันโตแบบโตกระจุก  จนกระจาย  โตแต่ฐานข้างบนละโตจากการใช้จ่ายภาครัฐนั่นเอง......ลุงตู่  ทราบแล้ว เปลี่ยนด้วยครับท่าน.......






1 ความคิดเห็น:

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...