วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

“ปารีส.....กรีดกราย”


                             
                    ต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสกลับไปที่ปารีสอีกครั้งหนึ่ง   เป็นการไปเยือนปารีสเป็นครั้งที่   5  หลังจากไปเยือนครั้งแรก ปี 1990  และครั้งสุดท้ายได้ไปเยือนเมื่อ 2004  ห่างไป 14 ปี หอไอเฟลก็ยังตระหง่านเป็นศรีสง่าแก่กรุงปารีสโดยหอไอเฟลสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition universelle de Paris de 1889)  เข้าใจว่าจะคล้ายๆกับงานเอ็กซ์โปที่เคยจัดที่เซียงไฮ้กระมัง......  นับอายุหอไอเฟลแล้วก็  129  ปี เต็มปีหน้าคงมีงานฉลอง 130 ปีหอไอเฟลอย่างแน่นอน
                4 ครั้งแรกที่เดินทางไปปารีสจะมีความรู้สึกปลอดภัยไม่ต้องกังวลใดๆ   แต่จากข่าวคราวทั้งเรื่องผู้ก่อการร้าย  การวางระเบิด  และที่สำคัญ “ขโมย”  กลายเป็นสีสัน (ทางลบ) ของปารีส  ไปเที่ยวนี้แบ่งบัตรเครดิตกับเงินเป็นสามส่วน  ใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ตามปกติ   แบ่งไว้ในกระเป๋าที่เป็นแบบซองห้อยคอ  และอีกส่วนเก็บไว้ในพาสปอร์ตซึ่งเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงอีกข้างหนึ่ง  แถมตอนขึ้นรถไฟ หรือ เข้าใกล้ฝูงชนเมื่อใดจะมีอาการผวาทรวง.....  ออกอาการตบกระเป๋า  เบี่ยงตัว   ย้ายกระเป๋าเป้มาอยู่ข้างหน้า  โอ้ย....มาเที่ยวหรือมาเป็นโรคประสาท ... แต่สุดท้าย  ก็ปลอดภัยดีทั้งร่างกาย ทรัพย์สิน  กลับคืนมาตุภูมิอย่างไร้รอยขีดข่วน
                ไปครั้งนี้เดินทางเองกับภรรยาแบบชิลๆ สโลว์ไลฟ์  เดินทางเองทั้งหมดก็วุ่นวายดีเพราะต้องเตรียมการเดินทาง  จองโรงแรม ฯลฯเอง  แต่ระบบขนส่งมวลชนของปารีสขอบอกว่าดีมาก  สะดวก และราคาเหมาะสม  สิ่งที่เห็นแตกต่างไปก็คือจะเป็นสังคมไร้เงินสดเข้าไปทุกที   ไปซื้อตัวรถไฟใต้ดินที่ปารีสเรียก “เมโทร” เราเลือกซื้อแบบตั๋วชุด  10 ใบ ราคาจะถูกกว่าซื้อทีละใบ  (แต่ถ้าเดินทางบ่อยขอแนะนำให้ซื้อแบบการ์ดรายวัน รายสามวันแล้วแต่ พฤติกรรมการเดินทางของท่านเอง)  ตอนจ่ายเงินเค้าไม่รับเงินสดต้องรูดบัตรเครดิตครับ   แค่ 14.90 ยูโร  (บ้านเรา หลายร้านต้องมากกว่า 500 บาทถึงรับรูดบัตร)   ค่าแรงบ้านเขาแพงดังนั้นอะไรที่ใช้เทคโนโลยี่มาช่วยได้ก็จัดเต็ม  ไปร้านแมคโดนัลจะมีจอสั่งสินค้าให้เราเลือกแล้วจ่ายเงินตรงนั้นเลย (ด้วยบัตรเครดิต)  แล้วเอาตั๋วไปรับของ  แรกๆก็งงๆว่าตรูเป็นคน ตจว.เข้าเมืองมาจากบ้านนอก  แต่พอใช้ไปสักพักก็เครเรย   ดูตามภาพประกอบเรยครับ
                การจองตั๋วต่างๆไม่ว่าจะเป็น “BIG BUS “ ซึ่งเป็นรถบัสแบบจ่ายเงินครั้งเดียวรถจะวิ่งวนไปตามสถานที่ต่างๆที่เป็นจุดสำคัญในปารีส  แบบ HOP ON  HOP OFF   เป็นการท่องเที่ยวแบบชิลๆมาก อยากลงตรงไหน  แวะตรงไหนนานๆก็ว่าไป  ขี้นลงได้ตั้งแต่ เช้าจรดค่ำมืด  แถมมี NIGHT TOUR อีกต่างหาก  ก็จัดไปครบชุดใหญ่      “ลิโด้” ซึ่งเป็นคาบาเรตในตำนานเคยไปดูครั้งหนึ่งเมื่อ  1990  โอโฮตั้ง 28 ปีที่แล้วยังตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม  แถมเที่ยวนี้กัดฟันจ่ายเต็มค่าอาหารอยู่ชั้นล่างใกล้เวทีเรย  ถอนขนจักกะแรไป 12,00 สำหรับสองคนค่าอาหารค่ำและค่าโชว์   รวมทั้งบริการอื่นๆในปารีสจะชำระเงินด้วย  “บัตรเครดิต”
                แต่อีกมุมหนึ่งของปารีสก็จะเต็มไปด้วยผู้อพยพมีเห็นขอทานบนถนน “ชองอลิเซ่” ถนนในตำนานของปารีสอีกเช่นกัน  แถมที่หน้าโรงแรมที่พักมีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดสามห้องแถวบ้านเราได้  ตอนเช้าเค้าก็จะเอาอาหารที่หมดอายุมาทิ้งที่ถังขยะ  ก็จะพบเห็นคนจรจัดซึ่งน่าจะเป็นผู้อพยพมาคุ้ยหาอาหารหมดอายุ (ยังไม่เสีย) ที่ทางซุปเปอร์มาเก็ตทิ้งไว้ไปรับประทานต่อ    จากตัวเลขเว็บวิกิพีเดียมีจำนวนผู้อพยพในฝรั่งเศสถึง 252,264 และเมื่อรวมในยุโรปแล้วน่าจะถึง 1 ล้านคน  ยังไงประเทศไทยของเราก็อย่าให้มีสงครามกลางเมืองจนต้องเป็นผู้อพยพเช่นชาว ซีเรีย  ปาเลสไตน์ ฯลฯ เรยครับ  ดูแล้วน่าหดหู่
                สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด  ระบบรถไฟใต้ดินในปารีสเชื่อหรือไม่ครับ รถไฟฟ้าสายแรกเปิดในปี พ.ศ. 2443 ระหว่างงานนิทรรศการนานาชาติ (Exposition Universelle 1900)   คือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว เข้าใจว่าน่าจะเป็นรถไฟใต้ดินสายแรกในโลกด้วย   ปัจจุบันมี 16 สายความยาว 213 กิโลเมตร  สถานีถึง 298 สถานี (เยอะมาก) แถมบางสถานีชื่อคล้ายๆกันอีก   การเชี่อมต่อสะดวกมีป้ายบอกทางตลอดแม้ในสถานที่ท่องเที่ยวก็จะไม่งงว่าออกประตูไหนอย่างไร  มีป้ายบอกชัดเจนครับผม  
 ไม่ต้องห่วงครับประเทศไทยกำลังตามมาติดๆ 75 ปีตามหลังมาเรามี สามสายแล้วครับพี่น้องและอีกไม่เกิน 10 ปีนี้บ้านเราก็จะมีถึง 10 สาย ..รอ....รอ.....รอ.....รอ.......รถไฟฟ้ามาหานะเธอ  แม้ช้าไปนีสแต่จิตไม่หงุดเงี้ยวนะจะบอกให้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...