วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

“อย่าซ้ำเติม..ท่องเที่ยว..ไทย”


     
CR::/www.marketingoops.com

             เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2560-2561 สองปีนี้คงไม่สามารถเติบโตได้ขนาดนี้  หากขาดซึ่งธุรกิจท่องเที่ยวหรือหากนักท่องเที่ยวลดน้อยถอยลงแล้วก็เชื่อได้ว่า  คงกระทบกับหลายๆธุรกิจอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นบันเทิง  โรงแรม  ของที่ระลึก (ค้าปลีก)   ซึ่งในปี 2560  อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ และไทยเที่ยวไทย   สามารถสร้างรายได้ถึง 2.76 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20 % ของ GDP คือเป็นหนึ่งในห้า ของ GDP ซึ่งอันตรายมาก  เพราะหากอุตสาหกรรมนี้มีปัญหาขึ้นมาก็จะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม  ท่านยังจำได้หรือไม่ครับสามสิบปีที่แล้วประเทศไทยมุ่งส่งออกๆๆๆ   พอส่งออกเดี้ยงไทยก็เดี้ยงด้วยจนเป็นไข้ไปหลายปี   

และหากแยกเป็นส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าจำนวนไว้ที่นักท่องเที่ยว 35 ล้านคน  ซึ่งปี2561นี้ก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างมีนัยะสำคัญ  คือจำนวนนักท่องเที่ยวเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม  เพิ่มจาก 23.5 ล้านคน เป็น 25.8 ล้านคนในปี 2561  เพิ่มถึง  9.94 %  โดยนักท่องเที่ยวจีน เพิ่มจาก 6.6 เป็น 7.7 ล้านคน เพิ่มถึง 16.5%   ดูแล้วคงทำได้ตามเป้าที่ 35 ล้านคนอย่างแน่นอน  โดยมีเป้าหมายด้านรายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.1 ล้านล้านบาท  รวมไทยเที่ยวไทยอีก 1.0 ล้านล้านบาท  รวมเป็น 3.1 ล้านล้านบาท

แต่ต้นเดือนตุลาคมนี้มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งซึ่งคนไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญเสียเท่าใด  คือข่าวว่า”โกลเด้นวีค”  คือช่วงวันชาติจีน 1-7 ตุลาคมของทุกปีจะเป็นวันหยุดยาวในประเทศจีนคล้ายสงกรานต์บ้านเรา  ซึ่งคนไม่มีสตางค์ก็เที่ยวในประเทศ  แต่คนมีสตางค์ก็ท่องเที่ยวต่างประเทศเหมือนบ้านเราเปี๊ยบเรย ซึ่งปี 2561 คนจีนเดินทางท่องเที่ยวช่วงนี้ถึง 700 ล้านคน (ครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ)    ทุกปีประเทศไทยจะครองสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวมากที่สุด   แต่ปรากฏว่าในปี 2561 นี้ (เฉพาะช่วง โกลเด้นวีคนี้)  นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่าประเทศไทย  หลายคนอ่านผ่านๆคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรสำคัญ  แต่สำหรับผมแล้วมันเหมืนเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งหรือไม่ ???

เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่มากระทบกับนักท่องเที่ยวจีน  ไม่ว่าจะเป็นเรือฟีนิกซ์ล่มเมื่อเดือน กรกฏาคม 2561 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตถึง 33 คน แถมท่านรองนายกประวิตร  วงษ์สุวรรณยังไปให้สัมภาษณ์ว่า  "คนจีนเป็นเป็นคนนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวเขา เขาทำของเขาเอง เขาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เราจะให้ไปเรียกความเชื่อมั่นได้อย่างไร"  แม้เป็นเรื่องจริงก็สมควรพูดหรือไม่ทำให้งานงอกต้องออกมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่    เหตุการณ์ต่อมาพนักงานรักษาความปลอดภัยตบนักท่องเที่ยวจีน  เข้าใจได้ว่านักท่องเที่ยวคงทำอะไรผิดพลาดแต่การกระทำเช่นนั้นสมควรหรือไม่ ?? 

ล่าสุดเมื่อเช้านี้  (11 ตุลาคม 2561)  มีข่าวว่านักท่องเที่ยวจีน (อีกแล้วครับท่าน) ถูกปรับทิ้งขยะในที่สาธารณะถึง 2.000บาท  แต่ไกด์แก้ใบเสร็จเป็น 3,000 บาท  เอ......ว่าแต่ว่าแค่ทิ้งขยะถึงแม้ว่ากฎหมายเขียนไว้ให้ปรับได้สูงถึง 2,000 บาท  เราปรับ 500 ก็ได้มิใช่หรือ ??  คำถามคือมันมากไปหรือไม่  และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมทั่วถึงหรือไม่อย่างไร    แถมไกด์ทั้งไกด์ไทยไกด์จีนยังไปแก้ใบเสร็จซ้ำเติมความรู้สึกนักท่องเที่ยวจีนจริงๆ   เหมือนเป็นกรรมซัดวิบัติของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจริงๆ   ก่อนหน้านั้นนานแล้วหลายท่านคงได้เห็นคลิปที่น้องผู้หญิงสวมพวงมาลัยให้นักท่องเที่ยวจีนยิ้มหวาน  พอนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปก็สแยะปากแบบประมาณว่า   ตรู.....เบื่อ...เซ็งโว้ย....หรือการประนามนักท่องเที่ยวจีนที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทางโลกออนไลน์ซึ่งเดี่ยวนี้ด้วยเทคโนโลยี่มันแปลเป็นภาษาจีนได้   แถมนักท่องเที่ยวอินเดียถูกลูกหลงของการประทะกันของสองแก๊งค์ที่ย่านประตูน้ำ   ดูหน้าญาติที่รับมอบเงิน 1 ล้านบาทจากตำรวจท่องเที่ยวแล้วคงได้คำตอบว่าเงินไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของญาติ เพื่อน และครอบครัวของนักท่องเที่ยว     และด้วยพลวัตรของเทคโนโลยี่ทางสังคมทำให้เรื่องเหล่านี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว  และอยู่ยงคงกระพันในยูทูป  ในโลกออนไลน์วันดีคืนดีมันก็กลับมาหลอกหลอนอยู่ร่ำไป

ปีนี้และปีหน้าคงเป็นปีที่จะทดสอบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี  เพราะต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของประเทศต่างๆที่พยายามดึงดูดนักท่องเที่ยว  เช่น ญี่ปุ่น นีกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าให้คนจีนฟรีวีซ่าแบบคนไทยแล้วอะไรจะเกิดขึ้น   เวีดยนามที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวพัฒนาอย่างรวดเร็ว    อินโดนีเซียที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ซึ่งมีแหล่งท่องเทียวที่หลากหลายรอการพัฒนา  เพราะเป็นเกาะแก่งนับพันเกาะ  ความแตกต่างกันของชนเผ่า วัฒนธรรมและ ความหลากหลายทางชีวภาพให้คอยค้นหาและเยี่ยมเยือน   นอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆอีกไม่ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน  หากกระทบยาวนานคงทำให้เศรษฐกิจจีนมีผลกระทบ  ซึ่งก็จะไปกระทบกับการสร้างงานและรายได้ของคนจีน  แล้วก็จะมากระทบกับการท่องเที่ยวในที่สุดได้   รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินคราต่างประเทศเพราะหากค่าเงินจีนแข็งค่าขึ้นก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวสูงขึ้นจนมีผลกระทบได้อีกเช่นกัน

                แต่อย่างไรก็ตา
มสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันทุกด้านไม่ว่าจะเป็น  ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว  การพัฒนาด้านการบริการ  และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ   เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี้ยังคงมีมนต์ขลังต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...