วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เศรษฐกิจรุ่งเพราะมุ่งกีฬา


                 



                           ตอนผมเด็กๆเมื่อซัก 50 กว่าปีก่อนนี้มีหนังสือพิมพ์ไม่กี่ฉบับ  แต่ละฉบับก็จะหน้าบันเทิง  และ หน้ากีฬาเป็นองค์ประกอบของหนังสือพิมพ์รายวัน 1-2 หน้า   จนปัจจุบันมีเซ๊คชั่นกีฬาอยู่หลายหน้าและมีหนังสือพิมพ์กีฬาโดยเฉพาะ   มันบอกอะไรเราบ้างครับ   1.มีคนสนใจในการเสพสื่อบันเทิงและกีฬาในปริมาณที่มากอย่างมีนัยยะ   2.เมื่อมีคนสนใจมากๆแน่นอนการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจก็ย่อมมากตาม   เพราะมีการซื้อขาย  จับจ่ายใช้สอยในอุตสาหกรรมนั้นๆ  แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอาจไม่มากและมีนัยสำคัญอย่างเช่นในปัจจุบัน
                ทุกวันนี้อุตสาหกรรมกีฬามีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ไม่น้อย  จะเห็นได้จากมุมมองของภาครัฐในการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมกีฬา  โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านกีฬา ศิลปะ วัฒนธรรม การศาสนาคุณธรรม และจริยธรรม   ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ   ซึ่งมีข้อสรุปในเรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรมการกีฬา (Sports Industry  Promotion )  ออกมาเป็นเอกสารเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในภาครัฐและส่งเสริมการประกอบการของภาคเอกชน    ซึ่งอ่านแล้วอาจจะงงๆเพราะเป็นภาษาราชการถึง 90 กว่าหน้า  แต่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ภาครัฐมองเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนและยอมรับว่ากีฬาเป็น “อุตสาหกรรม” ชนิดหนึ่ง  มิใช่แค่เป็นเครื่องมือในการออกกำลังกาย  ลัลล้าเท่านั้น
                ขนาดของอุตสาหกรรมกีฬามีขนาดใหญ่โดยประเมินกันว่ามีขนาดตลาดรวมทั่วโลกถึง 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา   แน่นอนว่าตลาดใหญ่ที่สุดอยู่ในสหรัฐอเมริกา  ซึ่งมีขนาดตลาดประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดตลาดกีฬาในโลก  คือ 200,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา  ส่วนขนาดตลาดอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง  คงต้องขอให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย หรือ  ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของหอการค้าไทย  ลองช่วยประเมิณขนาดของอุตสาหกรรมกีฬาในบ้านเราดูอย่างเป็นทางการเสียที  เพราะที่ผ่านมามีแต่การประเมิณว่าประมาณ 80,000 ล้านบาท  ซึ่งผมคิดว่ามันน้อยกว่าความเป็นจริงอยู่พอประมาณ   เพราะลองนึกเล่นกันดูว่าเอาแค่  “การวิ่ง”  ซึ่งแต่ละปีมีการวิ่งรวมกันแล้วประมาณ  2,080 รายการ  (มาจาก สัปดาห์ละ 40รายการคูณด้วย 52)  มีนักวิ่งรายการละ  3,000 คน (ค่ากลางๆ ซึ่งบางรายการมีนักวิ่งเป็นหมึ่นคน เช่น บางแสน 21 / บุรีรัมย์ / สวนผึ้ง  เป็นต้น )  ก็จะมีนักวิ่งเข้ารวมจำนวน   6.24  ล้านคน   คนละ 500 บาท  ก็จะมีมูลค่าถึง 3,120 ล้านบาทแล้ว     นี่ยังไม่รวมไทยลีค 1 ปีนี้ 2018 ซึ่งแข่งไป 26 นัด(ยังเหลืออีก 8นัด)  มีผู้ชมทั้งสิ้น 1.018 ล้านคน  ไม่รวมเงินเดือนนักเตะ 18 ทีม (เฉพาะไทยลีค 1)  หากรวมนักเตะ  ค่าใช้จ่ายในการทำทีมของทีมไทยลีกทั้ง 1-4  และค่าถ่ายทอดลิขสิทธิ์ซึ่งขณะนี้ทรูวิชั่นเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ตกปีละ 1,000 ล้านบาท คงจะหลายพันล้านบาททีเดียว   ซึ่ง “ฟุตบอล”  มีขนาดของตลาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทย   ซึ่งหากรวม  จักรยาน โยคะ  ฟิตเนส  กีฬาอื่นๆ   ส่วนเสื้อผ้า อุปกรณ์  รองเท้ากีฬา ซึ่งประเมินว่าประมาณ 100,000 ล้านบาท   ฯลฯ    ก็คงมีขนาดตลาดโดยรวมซึ่งผมเชื่อ (เป็นความเชื่อส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณ)  ว่าขนาดของอุตสาหกรรมกีฬามีขนาดมากกว่า 200,000-300,000  ล้านบาทแน่นอน     
                แถมตลาดอุตสาหกรรมกีฬานี้มีการเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา  โดยไม่ต้องไปดูในเรื่องการเติบโตของ  GDP  แน่นอนรายได้ต่อหัวของประชากรมีผลต่อการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมกีฬาและทุกๆอุตสาหกรรม    แต่เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปคำนึงถึงสุขภาพ  และ แฟชั่นมากขึ้นตลอดจนสื่อสังคมอีเลคโทรนิคทั้งหลาย  มีส่วนช่วยทำให้อุตสาหกรรมกีฬานี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง  ครั้งหน้าเรามาต่อกันในเรื่อง  “องค์ประกอบของอุตสาหกรรมกีฬา”  และ “การตลาดกีฬา”   พาชาติรุ่ง  (ไม่ริ่งแน่นอนครับ)...!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...