วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เสือตัวที่เท่าไหร่....ใครรู้บ้าง ??






             ตอนสมัยผมยังละอ่อนอยู่ก็คือว่าประมาณ 20-30  กว่าปีที่แล้วช่วงปี 1990   มีการกล่าวขานกันว่าประเทศไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย  โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ “มาเลเซีย”   ส่วนเสือ 4 ตัวแรกของเอเชีย ( Four Asian Tigers) หรือมังกรเอเชีย   ซึ่งเป็นการยกประเทศ 4 ประเทศที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง  ซึ่งหมายถึโตมากกว่า 7 % ต่อปีช่วงระหว่างปี 2503-2533  ได้แก่  ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน  ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่า  ไทย หรือ มาเลเซียจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย     แต่แล้วในปี 2540 ก็เกิดวิกฤติและหายนะทางเศรษฐกิจที่เราเรียกกันว่าวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง   เพราะจุดเริ่มต้นของวิกฤติเริ่มที่ประเทศไทยและส่งผลให้ประเทศในเอเชียเกิดวิกฤติตามมา  มากบ้างน้อยบางตามแต่พื้นฐานของแต่ละประเทศ  
                ความพยายามของประเทศไทยซึ่งนับว่ามีความได้เปรียบทั้งทางภูมิศาสตร์  และ แหล่งทรัพยากรทั้งหลายดูเหมือนว่าเราจะมีโอกาสมากกว่ามาเลเซีย แต่แล้วความฝันของประเทศไทยก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความคิดและหน้าสื่อต่างๆ   อันเป็นผลมาจากหลายๆปัจจัยแม้ว่าช่วงระหว่างปี 2528-2538 เศรษฐกิจของไทยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10 ต่อปีจากนโยบายโหมลงทุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก  แต่จาก 10 ปีย้อนหลังไป คือระหว่าง 2551-2560  อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเพิ่มจาก 7.2 ล้านล้านบาท  เป็น 10.2 ล้านล้านบาท  คือเพิ่มเฉลี่ยแค่  3.24 %  เท่านั้น  ซึ่งนับว่าต่ำมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
                ในขณะที่ชาติอื่นๆในอาเซียนเติบโต 5 % ขึ้นไปทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโต ไม่น้อยกว่า 7%   ซึ่งเวียดนามเพิ่มพ้นจากสงครามเวียดนามในปี  2518   แค่ 44 ปี แต่เวียดนามสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างน่าทึ่ง  และเปลี่ยนจากคู่ค้าของไทยกลายเป็น “คู่แข่ง”  ของไทยในปัจจุบัน  อันมีสาเหตุมาจากมีสินค้าที่คล้ายๆกันอยู่มาก  ไม่ว่าจะเป็น ข้าว  สิ่งทอ  ส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก รองเท้า เป็นต้น  
                นอกจากนี้แล้วเวียดนามยังมีการเมืองที่มั่นคงซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากๆอันดับต้นๆ  เพราะสามารถนำนโยบายมาปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง  แถมค่าแรงงานในเวียดนามนั้นประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศที่ที่ 150-170 บาท / วันเท่านั้น  ทำให้มีการลงทุนจากต่างประเทศที่เรียกว่า FDI  มากกว่าประเทศไทยถึง 1 เท่าตัวในสองสามปีที่ผ่านมา  ก่อให้เกิดการจ้างงานทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ประเทศไทยนั้นติดกับดักทางการเมืองมาตั้งแต่  2549 นับแต่การปฏิวัติในครั้งนั้นก็ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองตามมานับเป็นเวลา 13 ปี แถมแนวโน้มก็จะยืดเยื้อเป็นชนักติดหลังคนไทยไปอีกนานเท่านั้น 
                อีกประการหนึ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปจำนวนประชากร  และ อัตราการเกิดของประชากรไทยนั้นเกิดน้อยลงไปจากเดิม ปีละ 1 ล้านเศษ  เหลือ 6-7 แสนคนต่อปี ทำให้กำลังภาคการผลิตลดลงไป  ไม่นับว่าคนไทยชอบสบายมีคนจน 14.5 ล้านคน(รวมคนแก่ /ชรา)  ซึ่งคนหนุ่มสาวไม่ทำงานหรือเป็นการว่างงานแบบแอบแฝง  ในขณะที่แรงงานทั้งหลายในการก่อสร้าง  โรงงาน  และ การประมง  เป็นชาว พม่า เขมร ลาว ซึ่งนับเฉพาะที่ขึ้นทะเบียน  2.8  ล้านคน ถ้ารวมพวกผิดกฎหมายคงไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน   แถมสังคมคนชราอย่างสมบูรณ์เข้ามาเยือนประเทศไทยแล้วครับเพราะในปี 2561 ที่ผ่านมามีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 20 % แล้วครับ
                ส่วนประเด็นสุดท้ายคือระบบการศึกษาของไทยที่  ส่งเสริมและมีวัฒนธรรมในการศึกษาระดับปริญญาเพราะเป็นหน้าตาของครอบครัว  และการวางแผนการผลิตซึ่งไม่มีการวางแผนโดยปล่อยให้เป็นอิสระของมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาผลิตแต่บัณฑิตทางด้านสังคมศาสตร์มา  ทำให้ต้องทำงานต่ำกว่าคุณวุฒินับเป็นการสูญปล่าวทางการศึกษาอย่างยิ่ง  ในขณะที่ประเทศพัฒนาทั้งหลายส่งเสริมการศึกษาทางด้านวิจัย  วิทยาศาสตร์  และ คณิตศาสตร์  อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศได้มากกว่า  มีข่าวเล็กๆว่ามีเด็กเวียดนามประสบความสำเร็จใน “สตาร์ทอัพ”  โดยประดิษฐ์แอพพลิเคชั่นการชำระเงินด้วยการสแกนใบหน้า  FACE PAYMENT  ได้รับเงินทุนสนับสนุนเป็นจำนวนมากทำให้การขยายตลาดเข้าไปในหลายประเทศทั้งจีน  และกำลังจะเปิดกิจการนี้ในประเทศไทยอีกด้วย
                เสือตัวที่  5   หรือ เสือตัวที่ 6  เสือตัวที่  7   ก็มิอาจเป็นได้แล้วในตอนนี้  คงเป็นได้แค่  “เสือป่วย (เรือรั้ง) แห่งเอเชีย”  เพราะดูแนวโน้มแล้วในชีวิตผมที่เหลืออยู่ซึ่งไม่น่าจะเกิน 20 ปีจากนี้ไปยังไม่เห็นความหวังว่าจะกลับมารุ่งเรืองได้ดังในอดีต  แต่  “ชีวิตต้องก้าวเดิน”  ดังนั้น KEEP WALKING   ครับ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ......!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...