ใครเคยไปประเทศจีนเมื่อ 2523
ซึ่งเป็นปีที่จีนเปิดประเทศ ในขณะนั้นผมเพิ่งจบการศึกษาปริญญาตรี
และได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติที่ซัวเถา
ต้องนั่งรถกระป๋องเล็กๆข้ามวันจากด่านชายแดนจีน-ฮ่องกง และต้องซื้อตั๋วมอเตอร์ไซค์เพื่อไปเป็นของฝากให้ญาติผู้ใหญ่ ซึ่งก็นับเป็นเวลา 40 ปีพอดีในปีนี้ แต่ในปี
2534 หรือเมื่อ 30 ปีที่แล้วก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตสีย้อมผ้า ซึ่งไปเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต โดยทางบริษัทได้ตกลงร่วมทุนในการผลิตสินค้านี้ในประเทศไทย การเดินทางต้องเดินทางระหว่างเมือง ต้องใช้รถไฟซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเพราะเป็นรถไฟที่เก่า สกปรก
ผู้โดยสารแน่นแถมยืนเต็มขบวน ไม่ต้องพูดถึงการบริการ ฯลฯ
แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง รถไฟความเร็วสูง ที่จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง สามารถส่งออกไปได้ทั่วโลกแถมบ้านเมืองพัฒนาไปไกลจนจะก้าวเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ
และ ทางทหารอีกด้วย
ในปี 2523 ( 1980 ) นั้นจีดีพีของประเทศจีน คิดเป็น
1.8 % ต่อหัวของคนจีนอยู่ที่ 384
เหรียญสหรัฐ
แต่ในปี 2563
(2020) ที่จีนพัฒนาประเทศมาครบ 40
ปีพอดี จีดีพีของจีนคิดเป็นถึง 14.8 %
ของจีดีพีโลก ที่สำคัญจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 9,281 และเชื่อว่าในปี 2564 นี้จะเพิ่มเป็น มากกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐอย่างแน่นอน
หันกลับมาดูพี่ไทยเราพัฒนามาตั้งแต่ แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งประกาศใช้ในปี 2504 นับถึงวันนี้ 60 ปี
โปรดอ่านอีกครั้งหนึ่งครับ 60
ปีผ่านไป
ซึ่งจะสิ้นสุดแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (2560-2564) ในปีนี้แล้ว
ผลของการพัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง
2533 ซึ่งเป็นปีแรกที่หาข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยไทย มีจีดีพีต่อหัว 39,965 คิดเป็น (ขอคำนวนที่ 30 บาท / เหรียญ) 1,332 เหรียญสหรัฐ /คน (https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/ReportPage.aspx?reportID=409&language=th )
ผ่านไป 30 ปี ในปี 2562
จีดีพีต่อหัวของประเทศไทย 7,607
เหรียญสหรัฐ/คน ซึ่งน้อยกว่าคนจี่นที่เกือบ 10,000 เหรียญสหรัฐ ที่สำคัญไปกว่านั้น ..................โปรดตามมาครับ.................
จีนเคยมีคนยาจนอยู่เกือบ 900 ล้านคน ในขณะที่มีประชากร 1,300 ล้านคน แต่เมื่อตรุษจีน 2564 (2021)
ที่ผ่านมาประธานาธีบดี สี่จิ้นผิง
ประกาศว่าประเทศจีนไม่มีคนยากจนแล้ว เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนคนที่
7 เมือ 2556
นับว่าใช้เวลา 8
ปีเท่านั้นในการสานต่อนโยบายของประธานาธิบดี 6 คนก่อนหน้า
ซึ่งท่านที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศมากที่สุดคือ เติ้งเสี่ยวผิง ลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจีนคนใหม่ในเดือนธันวาคม
ค.ศ. 1978 ซึ่ง ไม่เคยดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐ
หัวหน้ารัฐบาล หรือเลขาธิการ(ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์) เลย
แต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศจีนอย่างแท้จริง
จนได้รับการยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ในปี 1978
แม้แต่มณฑลกุ้ยโจวซึ่งในอดีตเคยเป็นมณฑลที่ยากจนที่สุดของจีน
มีประชากรกว่า 9 ล้านคน และได้รับการพัฒนาจนพ้นความยากจนในปี 2555 จนเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 รัฐบาลจีนประกาศว่า 9 อำเภอที่ยากไร้สุดท้ายในมณฑลกุ้ยโจวได้หลุดพ้นจากความยากจนขั้นสูงสุด และประเทศจีนไม่มีคนยากจนแล้ว
ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าแต่ละประเทศนั้นมีเส้นขีดแบ่งความยากจนแตกต่างกันหรือไม่ เพราะว่าค่าครองชีพของแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากัน ซึ่งจีนได้กำหนด “ความยากจนขั้นสูงสุด”
(absolute poverty) คือ รายได้ต่ำกว่า 2,300 หยวนต่อปี
หรือราว 10,000 บาทต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยได้กำหนดความยากจนตามข้อกำหนดของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ว่าจะต้องมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท / ปี
แล้วบัตรคนจนในประเทศไทยที่กรมบัญชีกลางประกาศว่า
มีถึง 14. 5 ล้านราย คิดเป็น
21.64 %
ของประชากร 67 ล้านคน(โดยประมาณ)
ซึ่งก็พอจะมองได้เป็นสองแนวทาง
1.เกณฑ์การกำหนดคุณสมบัติคนที่มีรายได้ต่ำกว่า
30,000
บาทนั้นเหมาะสมหรือไม่ และ
การลงทะเบียนนั้นถูกต้องหรือไม่
เพราะเราเห็นกันอยู่หลากหลายว่าบุคคลที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี หรือ 2,500 บาทต่อเดือน
ก็มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนี้กันอย่างทั่วหน้า เรียกว่าแจกบัตรกันอย่างทั่วถึง นี่ถ้าหากว่าไม่เป็นการริดรอนสิทธิมนุษย์ชน ลองประกาศรายชื่อทั้ง 14.5 ล้านคน ดู
รับรองว่านักสืบโซเชีลจะหาคนที่มีรายได้เกินเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านคน
เพราะคิดง่ายๆว่า
ประชากรมี 67
ล้านคน ตัวเลขโดยประมาณ
และตัวเลขด้านล่างเหล่านี้เป็นตัวเลขไม่ใช่ปีเดียวกันเพราะไม่สามารถหาข้อมูลได้
แต่แม้จะเหลือมปีกันก็สามารถเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้ตามสมควร ดังนี้
1.ข้าราชการปัจจุบัน 2,841,259
2.ข้าราชการบำนาญ 556,079 คน ปี 2554
( http://www2.fpo.go.th/S-I/Source/Article/Article146.pdf )
3.พนักงานในระบบประกันสังคม 16,407,409 (
2563 ก่อนโควิด)
4.บัตรคนพิการ จากสถิติข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย
ของศูนย์ข้อมูลคนพิการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปี 2561 ระบุว่า ประเทศไทยมีคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจำตัวคนพิการแล้วทั้งสิ้น
2,041,159
5.ผู้รับเบี้ยผู้สูงอายุ 11.1 ล้านคน ธค 2562
กรมกิจการผู้สูงอายุ ( http://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/275 )
6.เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
14.128 ธค 2558 กรมการปกครอง (ซึ่งไม่มีสิทธิรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)
รวมแล้ว 47.536 ล้านคน
ซึ่งจะไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
จากประชากร 67 ล้านคน จะเหลือ
19.47 ล้านคน แต่มีคนได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถึง 14.5 ล้าน
แสดงว่าคนที่ไม่อยู่ในระบบใดเลย
จะมีรายได้มากกว่า 30,000
บาทต่อปีอยู่แค่ 4.97 ล้านคนแค่นั้นเอง
กลับมาที่ประเทศจี “สี จิ้นผิง”
ได้กล่าวไว้เมื่อ 3
ธันวาคม 2020 ในปีที่จีน และ โลก
เจอกับหายนะโควิด-19 ว่า
“เราได้ทำหน้าที่บรรเทาความยากจนในโลกยุคใหม่ได้เสร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้”
และยังได้กล่าวไว้อีกว่า
“ปัญหาของความไม่เท่าเทียมและการพัฒนาที่ไม่มีประสิทธิภาพของประเทศนั้นยังเห็นได้เด่นชัด
และการกระจายความเจริญ รวมถึงขยายผลการบรรเทาความยากจนให้กว้างขวางนั้นยังเป็นงานที่ยากลำบาก”
ส่วนประเทศไทยเราผู้นำกล่าวว่า “ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มี “
หัวเราะมิออก อีก 10-20 ปี เวียดนามอาจจะแซงเราไปก็ได้ เขียนแปะข้างฝาบ้านไว้ได้เลย วันนี้จีดีพีต่อหัวของเวียดนามอยู่ที่ 3,497 เหรียญสหรัฐ /คน อีก 10-20
ปีมาดูกันว่านจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เพราะบ้านเราวนเวียนอยู่กับ
เลือกตั้ง ปฏิวัติ ประท้วง
เขียนรัฐธรรมนูญ แก้รัฐธรรมนูญ วนไปตั้งแต่
2475 รวมแล้ว 89
ปี มีรัฐธรรมนูญแค่ 20 ฉบับเอง
....... เอวัง.....ก็มีด้วยประการนี้แล...........