วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

จบเกมส์ โตเกียว 2020

 

                ในที่สุดความฝันของผมที่จะไปร้องเพลงชาติไทยในโอลิมปิคที่โตเกียวต้องล้มลงอย่างเป็นทางการ  เมื่อคณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียว2020  ได้ประกาศอย่างเป็นทางการที่ญี่ปุ่นจะไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาชมการแข่งขันในญี่ปุ่น  ซึ่งผมได้จองตั๋วชมเทควันโดหญิง  รุ่น 49 กก.ที่น้องเทนนิสมืออันดับหนึ่งของโลกที่มีความหวังเหรียญทองโอลิมปิคจองมาเกือบสองปี    เพราะแม้ผมจะได้เคยไปชมโอลิมปิคมาสองครั้งซึ่งไม่มีโอกาสร้องเพลงชาติไทยในสนามโอลิมปิค  คงได้แค่เหรียญทองแดงจากยกน้ำหนักในลอนดอนเกมส์ เมื่อปี 2012 เท่านั้น  ส่วนครั้งแรกไปดูขี่ม้าที่ปักกิ่ง 2018

                ซึ่งการห้ามต่างชาติเข้าประเทศเพื่อชมการแข่งขันโตเกียว 2020ในครั้งนี้  จะทำให้เงินค่าขายบัตรเข้าชมการแข่งขันต้องคืนให้กับผู้ที่จองบัตรไว้ล่วงหน้าแล้ว   630,000 ใบ  ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเงินเท่าใด  คิดเอาคร่าวๆจากบัตรที่ผมได้ซื้อไว้เป็นเกณฑ์  คือ 60.000 บาทรวมโรงแรม 2 คืน  (บางชนิดกีฬาก็ถูกแพงแตกต่างกันไป)  ก็จะเป็นเงินถึง  37,800 ล้านบาท  ซึ่งดูแล้วเหมือนไม่ค่อยมากเท่าใด  และคงอาศัยคนญี่ปุ่นมาชดเชยรายได้จำนวนนี้ได้บ้างเพราะคนญี่ปุ่นเองมีกำลังซื้อได้      แต่กีฬาหลายประเภทก็ไม่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่นก็อาจจะไม่สามารถขายบัตรเข้าชมได้มากนัก    ยิ่งในภาวะโควิด-19 ก็คงต้องจัดที่นั่งหลวมๆเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม

                แต่จากการลงทุนในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ถึง  810,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามากโขอยู่คิดเป็น ถึง 25 เปอร์เซนต์งองงบประมาณของรัฐบาลไทย   ซึ่งทำให้คิดไปได้ว่าโอลิมปิคคงไม่มีโอกาสจัดขึ้นในประเทศไทยเป็นแน่แท้เพราะใช้งบประมาณมากขนาด   เพราะการขาดรายได้ค่าตั๋วจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ  4 หมื่นล้านบาทคิดเป็นจำนวนไม่มากเท่าใดเมื่อเทียบกับงบประมาณจัดการแข่งขัน

                แต่รายได้ที่หดหายไปมากที่สุดน่าจะเป็นจาก   ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ทางนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องจ่ายไม่ว่าจะเป็นค่าที่พัก  ค่าอาหาร  ค่าท่องเที่ยว  ช้อปปิ้ง ค่าเดินทางต่างๆ   ไม่ทราบว่าจะเป็นเงินเท่าใดนอกจากนี้ที่สำคัญคือ   โอกาสในการให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี  วัฒนธรรม  ตลอดจนสินค้า และแหล่งท่องเที่ยวเพื่อประกาศต่อชาวโลก  ซึ่งจะได้รับต่อยอดเป็นอานิสงค์ของการท่องเที่ยวหลังจากโตเกียว 2020  จะมีมูลค่าที่มหาศาลกว่ามากนัก      และคงต้องจับตาพิธีเปิด พิธีปิด  ซึ่งเชื่อได้ว่าญี่ปุ่นเองคงเตรียมมาขายของอย่างเต็มที่  เหมือนกับตอนที่รับธงการจัดการแข่งขันที่บราซิล  ขนาดยกรัฐมนตรีอาเบะยอมแต่งตัวเป็นตัวมาริโอ  แน่นอนต้องการขายของเป็นสำคัญ  มิฉนั้นคงแต่งชุดประจำชาติหรือชุดสากล   และไม่มีใครทราบว่าในพิธิเปิดและปิดญี่ปุ่นจะขายอะไร    คงต้องเฝ้ารอและติดตามจากขอทีวีที่บ้านเรา.....!!

ดร.พงษ์ศักดิ์  สวัสดิเกียรติ

สถาบันวิทยาการโอลิมปิคไทย


วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564

พ้นความยากจน ??

 



                ใครเคยไปประเทศจีนเมื่อ 2523 ซึ่งเป็นปีที่จีนเปิดประเทศ ในขณะนั้นผมเพิ่งจบการศึกษาปริญญาตรี และได้มีโอกาสไปเยี่ยมญาติที่ซัวเถา  ต้องนั่งรถกระป๋องเล็กๆข้ามวันจากด่านชายแดนจีน-ฮ่องกง  และต้องซื้อตั๋วมอเตอร์ไซค์เพื่อไปเป็นของฝากให้ญาติผู้ใหญ่   ซึ่งก็นับเป็นเวลา 40 ปีพอดีในปีนี้      แต่ในปี  2534 หรือเมื่อ   30 ปีที่แล้วก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตสีย้อมผ้า   ซึ่งไปเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต   โดยทางบริษัทได้ตกลงร่วมทุนในการผลิตสินค้านี้ในประเทศไทย   การเดินทางต้องเดินทางระหว่างเมือง   ต้องใช้รถไฟซึ่งนับเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเพราะเป็นรถไฟที่เก่า  สกปรก  ผู้โดยสารแน่นแถมยืนเต็มขบวน    ไม่ต้องพูดถึงการบริการ  ฯลฯ  แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง รถไฟความเร็วสูง  ที่จีนพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง   สามารถส่งออกไปได้ทั่วโลกแถมบ้านเมืองพัฒนาไปไกลจนจะก้าวเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจ และ ทางทหารอีกด้วย

                ในปี  2523 ( 1980 ) นั้นจีดีพีของประเทศจีน  คิดเป็น  1.8 % ต่อหัวของคนจีนอยู่ที่  384 เหรียญสหรัฐ 

                แต่ในปี 2563 (2020)  ที่จีนพัฒนาประเทศมาครบ 40 ปีพอดี  จีดีพีของจีนคิดเป็นถึง 14.8 %  ของจีดีพีโลก  ที่สำคัญจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น  9,281  และเชื่อว่าในปี  2564 นี้จะเพิ่มเป็น มากกว่า  10,000 เหรียญสหรัฐอย่างแน่นอน

                หันกลับมาดูพี่ไทยเราพัฒนามาตั้งแต่  แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ซึ่งประกาศใช้ในปี 2504 นับถึงวันนี้  60 ปี  โปรดอ่านอีกครั้งหนึ่งครับ  60 ปีผ่านไป  ซึ่งจะสิ้นสุดแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12  (2560-2564)  ในปีนี้แล้ว  ผลของการพัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง

 2533   ซึ่งเป็นปีแรกที่หาข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยไทย  มีจีดีพีต่อหัว 39,965 คิดเป็น  (ขอคำนวนที่ 30 บาท / เหรียญ)    1,332 เหรียญสหรัฐ /คน  (https://www.bot.or.th/App/BTWS_STAT/statistics/ReportPage.aspx?reportID=409&language=th )

ผ่านไป 30 ปี ในปี  2562  จีดีพีต่อหัวของประเทศไทย   7,607  เหรียญสหรัฐ/คน ซึ่งน้อยกว่าคนจี่นที่เกือบ 10,000 เหรียญสหรัฐ   ที่สำคัญไปกว่านั้น   ..................โปรดตามมาครับ.................

 

จีนเคยมีคนยาจนอยู่เกือบ  900 ล้านคน ในขณะที่มีประชากร  1,300 ล้านคน   แต่เมื่อตรุษจีน  2564 (2021)  ที่ผ่านมาประธานาธีบดี  สี่จิ้นผิง ประกาศว่าประเทศจีนไม่มีคนยากจนแล้ว  เพราะตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนคนที่ 7  เมือ  2556   นับว่าใช้เวลา  8 ปีเท่านั้นในการสานต่อนโยบายของประธานาธิบดี 6 คนก่อนหน้า  ซึ่งท่านที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศมากที่สุดคือ เติ้งเสี่ยวผิง  ลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจีนคนใหม่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978  ซึ่ง ไม่เคยดำรงตำแหน่งเป็นประมุขแห่งรัฐ หัวหน้ารัฐบาล หรือเลขาธิการ(ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์)  เลย   แต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศจีนอย่างแท้จริง  จนได้รับการยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ในปี  1978

แม้แต่มณฑลกุ้ยโจวซึ่งในอดีตเคยเป็นมณฑลที่ยากจนที่สุดของจีน    มีประชากรกว่า 9 ล้านคน  และได้รับการพัฒนาจนพ้นความยากจนในปี  2555   จนเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 รัฐบาลจีนประกาศว่า 9 อำเภอที่ยากไร้สุดท้ายในมณฑลกุ้ยโจวได้หลุดพ้นจากความยากจนขั้นสูงสุด  และประเทศจีนไม่มีคนยากจนแล้ว   

ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าแต่ละประเทศนั้นมีเส้นขีดแบ่งความยากจนแตกต่างกันหรือไม่  เพราะว่าค่าครองชีพของแต่ละประเทศนั้นไม่เท่ากัน    ซึ่งจีนได้กำหนด   ความยากจนขั้นสูงสุด” (absolute poverty) คือ รายได้ต่ำกว่า 2,300 หยวนต่อปี หรือราว 10,000 บาทต่อปี   ในขณะที่ประเทศไทยได้กำหนดความยากจนตามข้อกำหนดของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  หรือบัตรคนจน ว่าจะต้องมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท / ปี 

แล้วบัตรคนจนในประเทศไทยที่กรมบัญชีกลางประกาศว่า มีถึง   14. 5 ล้านราย  คิดเป็น    21.64 % ของประชากร 67 ล้านคน(โดยประมาณ)    ซึ่งก็พอจะมองได้เป็นสองแนวทาง

                1.เกณฑ์การกำหนดคุณสมบัติคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทนั้นเหมาะสมหรือไม่  และ การลงทะเบียนนั้นถูกต้องหรือไม่    เพราะเราเห็นกันอยู่หลากหลายว่าบุคคลที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี  หรือ  2,500 บาทต่อเดือน  ก็มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนี้กันอย่างทั่วหน้า  เรียกว่าแจกบัตรกันอย่างทั่วถึง  นี่ถ้าหากว่าไม่เป็นการริดรอนสิทธิมนุษย์ชน  ลองประกาศรายชื่อทั้ง 14.5  ล้านคน ดู รับรองว่านักสืบโซเชีลจะหาคนที่มีรายได้เกินเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า  3-5 ล้านคน  เพราะคิดง่ายๆว่า 

ประชากรมี    67  ล้านคน   ตัวเลขโดยประมาณ และตัวเลขด้านล่างเหล่านี้เป็นตัวเลขไม่ใช่ปีเดียวกันเพราะไม่สามารถหาข้อมูลได้  แต่แม้จะเหลือมปีกันก็สามารถเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ในเบื้องต้นได้ตามสมควร  ดังนี้

1.ข้าราชการปัจจุบัน    2,841,259

2.ข้าราชการบำนาญ   556,079  คน  ปี 2554   ( http://www2.fpo.go.th/S-I/Source/Article/Article146.pdf ) 

3.พนักงานในระบบประกันสังคม  16,407,409  ( 2563 ก่อนโควิด)

4.บัตรคนพิการ    จากสถิติข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย ของศูนย์ข้อมูลคนพิการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ในปี 2561 ระบุว่า ประเทศไทยมีคนพิการที่ได้รับการออกบัตรประจำตัวคนพิการแล้วทั้งสิ้น 2,041,159

5.ผู้รับเบี้ยผู้สูงอายุ    11.1 ล้านคน    ธค 2562  กรมกิจการผู้สูงอายุ    ( http://www.dop.go.th/th/know/side/1/1/275 )

6.เด็กอายุต่ำกว่า 18  ปี     14.128     ธค 2558  กรมการปกครอง  (ซึ่งไม่มีสิทธิรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)

รวมแล้ว  47.536 ล้านคน  ซึ่งจะไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

จากประชากร  67 ล้านคน  จะเหลือ   19.47  ล้านคน    แต่มีคนได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถึง  14.5 ล้าน

แสดงว่าคนที่ไม่อยู่ในระบบใดเลย จะมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปีอยู่แค่     4.97   ล้านคนแค่นั้นเอง

กลับมาที่ประเทศจี    สี จิ้นผิง  ได้กล่าวไว้เมื่อ   3  ธันวาคม  2020 ในปีที่จีน และ โลก เจอกับหายนะโควิด-19  ว่า

เราได้ทำหน้าที่บรรเทาความยากจนในโลกยุคใหม่ได้เสร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

และยังได้กล่าวไว้อีกว่า

                ปัญหาของความไม่เท่าเทียมและการพัฒนาที่ไม่มีประสิทธิภาพของประเทศนั้นยังเห็นได้เด่นชัด และการกระจายความเจริญ รวมถึงขยายผลการบรรเทาความยากจนให้กว้างขวางนั้นยังเป็นงานที่ยากลำบาก

 

           ส่วนประเทศไทยเราผู้นำกล่าวว่า  “ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มี “   หัวเราะมิออก  อีก 10-20 ปี เวียดนามอาจจะแซงเราไปก็ได้  เขียนแปะข้างฝาบ้านไว้ได้เลย  วันนี้จีดีพีต่อหัวของเวียดนามอยู่ที่    3,497  เหรียญสหรัฐ /คน  อีก 10-20 ปีมาดูกันว่านจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  เพราะบ้านเราวนเวียนอยู่กับ  เลือกตั้ง  ปฏิวัติ   ประท้วง  เขียนรัฐธรรมนูญ  แก้รัฐธรรมนูญ  วนไปตั้งแต่  2475  รวมแล้ว  89  ปี  มีรัฐธรรมนูญแค่ 20  ฉบับเอง   ....... เอวัง.....ก็มีด้วยประการนี้แล...........

 

 

 

 

 

 

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...