วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

มาเร็ว เคลมเร็ว....ไปเร็ว(ชั่วข้ามคืน)

 




                การสร้างแบรนด์  การสร้างยอดขาย และการสร้างความน่าเชื่อถือศรัทธา  ต้องให้สรรพกำลัง กลยุทธ์  งบประมาณ บุคคลากร มันสมอง  ฯลฯ ที่สำคัญที่สุด คือ  “เวลา”    กว่าที่ลูกค้าจะเชื่อถือ ศรัทธา และใช้สินค้าของบริษัท  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความภักดีต่อตราสินค้า    แต่แล้วบางครั้งการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว   ก็สามารถทำให้ปราสาททราย  (ที่มิใช่ SAND BOX  หุหุ  ...ซักหน่อย  )   แต่มันคือตำนานของบริษัท หรือองค์กร ต้องล่มสลายได้เพียงชั่วข้ามคืน

            ถ้าพูดถึงคำว่า  “มาเร็ว...เคลมเร็ว”  ร้อยทั้งร้อยจะนึกถึง “สินมั่นคงประกันภัย” เพราะเป็นโฆษณาที่เจาะใจลูกค้า  โดยเข้าถึงความรู้สึกของลูกค้าว่ามีการรับรู้ถึงความหงุดหงิดใจในการรอประกันภัยมาตรวจสอบและเคลมในที่เกิดเหตุ   และแน่นอนว่าเมื่อสื่อสารไปแล้วสามารถทำได้ตามสารที่สื่ออกไปก็ทำให้มีลูกค้ามาซื้อบริการอย่างมีนัยสำคัญ  จนเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาการสร้างแบรนด์และการจดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            แต่แล้ววันที่ 16 กรกฏาคม 2564   คงเป็นวันที่ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และประชาชนคนไทยทุกคนทั้งที่เป็นลูกค้า และไม่ได้เป็นลูกค้า  ก็จะจดจำ “สินมั่นคง” ไปตลอดกาล  ด้วยความผิดพลาดของบริษัทเอง ที่ประกาศยกเลิกความคุ้มครองประกันภัยโควิด    และยิ่งไปกว่านั้นยังคืนเงินแค่ระยะเวลาที่เหลืออยู่    ในหน้าเฟสบุ้คของบริษัทเองว่า

            สินมั่นคงประกันภัย ขออภัยลูกค้าเป็นอย่างสูงที่แจ้งยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาแบบ เจอ จ่าย จบ หรือ COVID 2 IN 1 ท่านสามารถอ่านรายละเอียดการขอคืนเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smk.co.th/covidna.aspx

            เท่านั้นแหลครับหายนะมาเยือนข่าวนี้มีการส่งต่อ  มีการวิจารณ์  มีการก่นด่า  ฯลฯ ในความเห็นแก่ตัว และประโยชน์ของบริษัทอย่างหาที่สุดมิได้  เปรียบเสมือนการ “ฆ่าตัวตาย “ ทางธุรกิจ  เพราะมันเหมือนเจ้ามือหวยใต้ดินที่พอเวลาแทงไม่ถูกเจ้ามือกินรวบ  คือปีก่อนระบาดน้อยไม่ต้องจ่ายความคุ้มครองแยะก็กำไรไป  โดยอาศัยเลขยอดนิยม  “โควิด19”  คนแทงแยะแต่ไม่ถูกเจ้ามือก็รวยไป   แต่พอปีนี้หวยออกก็คือระบาดหนักต้องจ่ายความคุ้มครองแยะน่าจะขาดทุน  ก็ดันมายกเลิกคืนเงินที่แทงไปเฉย  แต่แทนที่จะคืนเงินทั้งหมดดันคืนแค่ระยะเวลาที่เหลืออยู่  มันจะเอาเปรียบเกินไปอย่าทุเรศที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา 

            ทำไมไม่รอให้กรรมธรรม์หมดอายุไปเพราะกรรมธรรม์เหล่านี้มีอายุเพียงปีต่อปี  แล้วไม่เปิดขายอีกเหมือนที่บริษัทวิริยะประกันภัยดำเนินการ  แน่นอนการทำอย่างนี้อาจจะทำให้บริษัทขาดทุน ไปสมมุติว่าให้แบบสุดๆ  100 ล้าน   ซึ่งมันเป็นความเสียหายแค่ในปี 2564 ที่ในอนาคตก็สามารถทำกำไรมาชดเชยได้ในที่สุด    

            แต่.......การกระทำอย่างนี้จะทำให้ขาดทุนไปตลอดการ และอาจจะถึงจุดจบของกิจการได้ในที่สุด  เพราะธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่ลูกค้าต้องซื้อด้วยความน่าเชื่อถือของบริษัทเป็นสำคัญ  เพราะเราซื้อความเสี่ยง  และความเชื่อว่าหากเป็นอะไรไปบริษัทประกันจะดูแลและรักษาสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันั่นเอง

            ในเวลาเดียวกันก็มีหลายบริษัทได้ออกมาดำเนินกิจกรรมที่เรียกว่า  Reverse Marketing  การตลาดย้อนกลับ หรือ   คิดแบบย้อนศร  คือการพลิกมุมมองของลูกค้าในคุณค่าที่แสวงหา  และคุณค่านั้นคือองค์กรแบรนด์นั้นนั่นเอง   ในกรณีก็คือ การที่บริษัทประกันทั้งหลายไม่ว่า จะเป็น เอไอเอ  กรุงเทพประกันภัย  เอฟดับบลิวดี  เมืองไทยประกันภัย  ไทยประกันภัย  **เชื่อแป้ง แอบโฆษณาให้เรย   ฯลฯ  กลับออกมาประชาสัมพันธ์ว่า  “เราไม่มีนโยบายยกเลิกความคุ้มครอง”  แต่จะรับต่ออายุหรือไม่ หรือขายประกันภัยนี้ต่อหรือไม่  ไม่ได้บอกไว้ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

            ดังนั้นผู้บริหารและนักการตลาดทั้งหลายต้องคิดให้รอบคอบทุกครั้งที่จะดำเนินกิจกรรมใดๆ  เพราะว่าวันนี้  “การหาลูกค้าใหม่ที่เรียกว่ายากแล้ว   การรักษาลูกค้าเก่าให้ยังอยู่กับบริษัทยิ่งยากกว่า” ...... และคู่แข่งพร้อมที่จะแย่งชิงลูกค้าไปจากเราทุกวินาที   อย่าให้แค่   “มาเร็ว  เคลมเร็ว และไปเร็ว “ ในชั่วข้ามคืน  เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดเช่นนี้อีกเรย  ......อาเมน

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

บันทึกโตเกียว 2020 ( 2021)

 

           


วันที่ผมเขียนบทความนี้คือวันที่ 23 มิถุนายน  2564 ซึ่งก็เป็นวันนับถอยหลัง 30 วัน สำหรับโอลิมปิกโตเกียว 2020 ที่มาจัดแข่งในปี 2021 อันเนื่องมาจากการระบาดของ โควิด-19  ที่การแข่งขันในครั้งนี้จะไม่มีอนุญาติให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าชมในสนาม ในขณะที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นเองส่วนหนึ่งก็มีความกังวลในการจัดการแข่งขันครั้งนี้  ที่จะเป็นตัวเร่งให้โควิด-19 ระบาดมากยิ่งขึ้นเพราะขณะนี้ญี่ปุ่นเองก็ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แถมอัตราการฉีดวัคซีนของญี่ปุ่นเองก็ฉีดวัคซีนครบโดสมีแค่ 10.4 ล้านคน คิดเป็น 8.2 % เท่านั้น  ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว 

                สำหรับโอลิมปิคครั้งที่ 32 โตเกียว 2020 นี้  โตเกียวได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกจัดเมื่อ 56 ปีที่ผ่านมาในปี 1964  นอกจากมีการเลื่อนการแข่งขันออกมา 1 ปีซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนั้น   ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่การแข่งขันครั้งนี้สมควรบันทึกไว้ดังต่อไปนี้

                1.มีกีฬาใหม่ถอดด้ามเข้ามาแข่งขันเป็นครั้งแรกด้วย 4 ชนิด  คือกีฬาคาราเต้, กีฬาสเกตบอร์ด, กีฬาโต้คลื่น และกีฬาปีนผา   และยังได้บรรจุกีฬาเบสบอล และกีฬาซอฟท์บอล อีกครั้งหลังจากที่เคยจัดการแข่งขันที่ ปักกิ่งในปี 2008              

2.ในการคัดเลือกเมืองเจ้าภาพนั้นมีผู้เผ่านเข้ารอบสามเมืองคือ  โตเกียว  อิสตันบูล และมาดริด  แต่เนื่องจากในการลงคะแนนรอบแรกไม่มีเมืองใดได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่ง   ซี่งโดยปกติก็จะเอาเมืองที่หนึ่งกับสองมาลงคะแนนใหม่  แต่ครั้งนี้เนื่องจากที่สองกับสามคะแนนเท่ากันคือ 26 คะแนน  ระหว่าง มาดริด กับ อิสตันบูล  จึงต้องลงคะแนนตัดออกหนึ่งเมืองเพื่อไปเป็นผู้ถ้าชิงกับโตเกียว  ปรากฏว่าอิสตันบูลเฉีอนชนะมาดริดไป  49:45  และในรอบตัดสิน ญี่ปุ่นชนะอิสตันบูลไปขาดลอย  60:36

3.มูลค่าของผู้สนับสนุนในการจัดการแข่งขั้นในครั้งนี้ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก ซึ่งมูลค่าสูงถึง 1.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ  มากกว่าปักกิ่ง 2008  ที่มูลค่า 1.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ  แต่จากการเลื่อนการแข่งขันและยังไม่มีผู้ชมต่างชาติเข้าชมด้วย  ก็ไม่ทราบว่าจะมีการปรับเปลี่ยนสัญญาการสนับสนุนการแข่งขันหรือไม่ อย่างไร ?  เพราะจำนวนคนดู เกมส์การแข่งขัน อาจจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะมีหลายชาติไม่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขัน

3.สำหรับเมืองที่เป็นเจ้าภาพแล้วถ้ามองระยะสั้นดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าการลงทุน  แต่สำหรับญี่ปุ่นแล้วได้คิดวางแผนถึงอนาคตเพราะ  สิ่งที่จะทิ้งไว้หลังเกมส์การแข่งขันก็จำเป็นต้องวางแผนให้เหมาะสมและคุ้มค่า  ตลอดจนคำนึงถึงสังคมที่น่าอยู่ในอนาคตด้วย  เช่น ในครั้งแรกที่จัดโอลิมปิกเมื่อปี 1964  เพราะได้มีการเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศผู้แพ้สงครามเป็น  มหานครที่เจริญที่สุดแห่งหนี่งของโลกมาจนถึงปัจจุบัน  รถไฟฟ้า “ชินคันเซ้น”  ที่เร็วที่สุดในโลกนั้นก็ถือกำเนิดในช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน  สำหรับครั้งนี้  ชาวโลกจะได้เห็น  ** เทคโนโลยี่  ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายทอดแบบ 8K  **การใช้รถพลังงานไฟฟ้า  ** การใช้หุ่นยนต์ในการสื่อสาร การช่วยเหลือนักกีฬา  การพาผู้ชมไปนั่งยังที่นั่ง  ฯลฯ    ** แม้แต่มาสคอ้ตก็เป็นหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า มิไรโตะวะ (MIRAITOWA)  มาจากภาษาญี่ปุ่น 2 คำด้วยกันคือ มิไร (Mirai) ที่แปลว่า อนาคต เข้ากับคำว่า โทวะ (Towa) ที่แปลว่า นิรันดร์ ซึ่งแสดงออกถึงความการหลอมรวม  นวตกรรม+วัฒนธรรม นั่นเอง

                4.สุดท้ายคือการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันที่รักษ์โลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์  เช่น  การมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์    การทำเหรียญรางวัลจากขยะอีเลคโทรนิคส์จำนวนถึง 5,000 เหรียญ    ใช้พลังลมและแสงอาทิตย์ในการสร้างพลังงานให้กับหมู่บ้านนักกีฬา     ชุดของนักกีฬาญี่ปุ่นในพิธีเปิดและปิดจัดทำโดย  ASICS ที่เป็นบริษัทญี่ปุ่น  ผลิตมาจากเสื้อผ้ารีไซเคิล (ต้องการแสดงเทคโนโลยีการผลิต)   เป็นต้น

โดยมีเป้าหมายให้เป็นโอลิมปิกที่มีนวตกรรมที่ทันสมัยที่สุด  และแน่นอนครับสำหรับญี่ปุ่นเอง  คงได้ขนทั้งเทคโนโลยี่  มาสคอต  การ์ตูน  เกมส์  วัฒนธรรม  และความเป็น ญี่ปุ่น  ออกมาขายในทุกมิติ  ผมเฝ้ารอว่าในพิธีเปิดญี่ปุ่นจะขายอะไร  ให้ฮือฮาเหมือนตอน ที่ให้นายกอาเบะรับมอบธงที่ริโอเมื่อปี 2016    โดยแปลงเป็นมาริโอก็ทำให้โลกตะลึงมาแล้วและเป็นที่ทอคล์ออฟเดอะทาวน์มาแล้ว      ก็ต้องรอดูว่า  โตเกียว 2020 พิธีเปิดจะทำให้โลกตะลึงได้แค่ไหนกัน ... แต่รับประกันซ่อมฟรีว่าต้องคุ้มค่าแก่การรอคอยครับ

 

 

 

 

 

 

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...