วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2564

อดใจไม่ไหว

 




                การท่องเที่ยวไทยเดี้ยงสนิทศิษย์ส่ายหน้า  ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะเป็นที่คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้  แต่ที่คาดผิดคือไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้  นับจากมีนาคม2563 ซึ่งประกาศภาวะฉุกเฉินอันเนื่องจากระบาดโควิด-19  นับถึงปีใหม่ก็  22 เดือนเต็ม  ธุรกิจท่องเที่ยวไทยตายสนิทเพราะนักท่องเที่ยวที่เคยมีในปี 2562 ถึง 39 ล้านคน  ลดเหลือ 6.7 ล้านคนในปี 2563  และ คาดว่าในปี 2564 นี้คาดว่า  1 ล้านคนเศษแม้จะเปิดประเทศเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาก็ตาม

                เราได้เห็นความพยายามเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจท่องเที่ยว   โดยเฉพาะโรงแรมที่มีต้นทุนในการลงทุนและการบริหารงานที่สูง   หลายโรงแรมก็ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดได้อย่างน่าชื่นชม  เพราะสิ่งสำคัญที่เป็นปัจจัยหนึ่งของโรงแรม และธุรกิจบริการทั้งหลายคือ  “ไม่ใช่มันหายไป”  การปล่อยให้ห้องพัก หรือ ร้านอาหาร ฯลฯ นั้นอยู่ว่างๆก็จะขาดรายได้แถมมีค่าใช้จ่ายประจำที่ต้องจ่าย  ไม่เหมือนกับสินค้าอื่นๆเพราะมันสามารถเก็บเป็นสต้อก  ผลิตเก็บไว้ก็ยังได้ถ้าคาดว่าอีกระยะหนึ่งจะมีคำสั่งซื้อเข้ามา     ซึ่งในเรื่องแนวคิดนี้ผมได้เคยพูดไว้ตั้งแต่เริ่มสอนนิสิตป.โท สาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจรุ่นที่ 1  เมื่อ 28 ปีที่แล้ว   ดังนั้นการสร้างรายได้แม้เพียงน้อยนิดเรียกได้ว่าให้คุ้มกับต้นทุนผันแปรของบริการนั้นๆ   ก็ยังดีกว่าปล่อยให้อยู่เฉยๆเพราะไม่อย่างนั้นมันหายไปตามเวลาที่ผ่านพ้นไปนั่นเอง   แถมยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายประจำเช่นเงินเดือนฯลฯ อยู่ดี

                ช่วงปี 2563 โรงแรมระดับ 5-6 ดาวคงยังไม่เห็นสัจธรรมในข้อนี้และคงคิดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นในปี 2564  แต่ที่ไหนได้มันลากยาวมาจนถึงปัจจุบันนี้   ทำให้ในปีนี้หลายโรงแรมซึ่งเรียกได้ว่าระดับ 5-6 ดาวที่เดียวได้จัด  “โปรกระแทกใจ”  ที่ทำให้  “อดใจไม่ไหว”    แต่มิใช่การนำห้องพักที่ราคา 4-6 พันบาทมาเร่ลดราคาเหลือ  1-2 พัน อันจะเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของโรงแรมเสียไป  และยังได้เงินน้อยลงเท่ากับราคาที่ลดลงเท่านั้นเอง   แต่มีสิ่งที่แยบยลเพราะไม่ได้ทำให้โครงสร้างราคาของโรงแรมเสียไป  จึงได้จัดขายอาหารและแถมห้องพัก   หรือ  ขายห้องพักและแถมเครดิตอาหาร  อันนี้จะทำให้ได้เงินมากขึ้นกว่าการลดห้องพักโดดๆ

                ตัวอย่างที่ผมเองได้ไปสัมผัสมาเองถึงสองโรงแรม  คือ  แชงกรีล่า   ผมชำระค่าห้อง  3,900 บาท ได้ห้องพักหนึ่งคืนและเครดิตเงินในการใช้บริการต่างๆไม่ว่าจะเป็นอาหาร สปา ฯลฯ จำนวนเงิน 2,500 บาท  เสมือนค่าห้องแค่ 1,400 บาท หักอาหารเช้าสองคนฟรีไป 800 ก็แล้วกัน  สรุปค่าห้องแค่  600 บาท  เลยจัดไปสองห้อง  แล้วเป็นงัยตอนกินอาหารหมดได้  8,000 กว่าบาทได้เครดิตมา 5,000 บาท  เลยต้องจ่ายเพิ่มไปอีก 3,000 บาท   นอกจากนี้แล้วยังปิดจุดอ่อนของการเข้าพักโรงแรมได้ซึ่งปกติจะเช็คอินได้ บ่ายโมงหรือบ่ายสองโมงและเช็คเอ้าท์ไม่เกินเที่ยงเลทได้สุดก็บ่ายสอง   อันนี้เนื่องจากโรงแรมมีห้องว่างมากก็เลยจัดไปว่า   เช็คอินได้ 8 โมงเช้า  เช็คเอ้าท์ได้ถึง 20.00 น.  สบายไป  อย่าลืมว่าถ้าเช็คเอ้าท์สองทุ่ม ต้องกินกลางวัน หรืออาจจะแถมถึงมือเย็นได้อีกหรือไม่อย่างไร ????

                อีกโรงแรมหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการคือ   บันยันทรี   จ่ายไป 2,699 บาท  ได้ดินเนอร์สองที่  แต่ไฮไลท์มันอยู่ที่อัพเกรดห้องพักเป็นห้องสวีท  รวมอาหารเช้าอีกสองคนเป็นอย่างไรละเป็นครั้งแรกที่ได้นอนห้องสวีทขนาดน่าจะมากกว่า 100 ตรม   ล่าสุดจัดหนักเข้าไปอีกมีโปรโดยจองกับทางฮังกรีฮับซึ่งเป็นแอปที่ใครไม่มีไม่ได้เรยโดยเฉพาะสายติดโปร  ซื้อคูปอง 5,000 บาท  สำหรับห้องอาหารจีนและจะได้คูปองห้องพักซึ่งถ้าพักวันธรรมดาจะอัพเกรดเป็นห้องสวีทเช่นกัน  แต่ตอนไปกิอาหารดิมซัมสี่คนจ่ายไป 7,000 กว่าบาท หักคูปองที่ชำระแล้วก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 2,000 บาท  

                และทั้งสองโรงแรมนี้ปรากฏว่าแต่วันมีคนไทยเข้าไปเช็คอินกันวันละเป็นร้อยห้อง  ศุกร์เสาร์  ก็เรียกได้ว่าหลายร้อยเลยทีเดียว  ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติที่พักอาศัยหรือทำงานในประเทศไทย  เพราะตอนทานอาหารเช้าเห็นมีต่างชาติไปกินเลยเข้าไปทักทายจึงได้ข้อสรุปได้ว่า   “อดใจไม่ไหว”  จริงๆๆๆ เน้อพี่น้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...