การชนะเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็เป็นไปตามโพลก่อนหน้านั้นที่ทุกโพล และ ทุกครั้งที่สำรวจมาอันดับหนึ่งโดยตลอด แต่การที่ได้รับเสียงถึง 1,386,769 คะแนน คิดเป็น 51.8% ต่างหากที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร นอกจากได้คะแนนสูงสุดตั้งแต่มีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.มา ยิ่งไปกว่านั้นประวัติศาสตร์คงต้องจารีกว่า ได้คะแนนถึง 51.8 % ซึ่งอีกมุมหนึ่งก็คือคะแนนรวมของชัชชาติมากกว่าคะแนนของผู้สมัคทุกคนรวมกันเสียอีก ชีวิตผมเองคงจะไม่ได้เห็นภาพแบบนี้อีกแน่นอน
นับได้ว่าชัชชาติได้สร้างปรากฏการณ์ชัชชาติขึ้นในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งในกรณีเช่นนี้ผมคงไม่วิเคราะห์ถึงสาเหตุแห่งชัยชนะ แต่อยากเล่าความรู้สึกและมุมมองและข้อแตกต่างของคำว่า “ผู้นำ” กับ “ผู้จัดการ / ผู้ว่า ฯ/ นายก / ผอ. / ผบ.” หรือตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวหน้ผู้บริหารสูงสุดซึ่งในที่นี้จะขอใช้คำว่า “ผู้บังคับบัญชา” แทน ตำแหน่งต่างๆเหล่านั้น เพราะสองคำนี้มีนัยะที่แตกต่างกันดังนี้
“ผู้นำ” หมายถึง ผู้นํา (Leaders) หมายถึง ผู้ที่ ได้รับความเคารพนับถือ ความร่วมมือจากผู้บุคคลอื่น มีอิทธิพลต่อความคิด การกระทำของบุคคลอื่น ผู้นำอาจจะไม่ไม่ตำแหน่งหรือยศถาบรรดาศักดิ์ใดก็ได้ เช่น ผู้นำท้องถิ่น ดารา อินฟลูเอนเซอร์ คีย์โอพีเนียนลีดเดอร์ เป็นต้น แต่ถ้าหากมีตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์ ก็จะยิ่งช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีอิทธิพลต่อความคิด และการกระทำของบุคคลอื่น และ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เร็วและมากขึ้น
“ผู้บังคับบัญชา” หมายถึง ผู้ทีมีอำนาจปกครองควบคุมดูแลและสั่งการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้ง ทั้งตามกฏหมาย ตามระเบียบของหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ
การที่เราได้ “ชัชชาติ” มาเป็นผู้ว่าเสมือนว่าเราได้ ผู้นำ มาเป็น ผู้ว่า กทม. ทั้งนี้คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าคะแนนเสียงที่ออกมานั้นย่อมหมายถึง ท่านทีอิทธิพลต่อความคิดให้รัก ชอบพอ และลงมือปฏิบัติด้วยการไปลงคะแนนเสียงให้ ครานี้ก็เป็นหน้าที่ของผู้ว่าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน เพราะมิฉนันแล้วพันธะทางใจที่เราเลือก “ผู้นำ” เป็น “ผู้ว่า” แล้วลองมาดูวัตรปฏิบัติของท่านที่ผมเชื่อว่าใครเห็นก็ชม เพราะว่า
มารยาทงาม ไม่กระแนะกระแหน มีมารยาท เคารพและให้เกียรติผู้อื่น คิดแง่บวก
ไม่ใช้คิดแต่จะบวก (หาเรื่อง) ให้เครดิตผู้บริหารก่อนหน้า อันนี้คงตรงกับ “ปิยวาจา” หรือ มธุรสวาจา
นอกจานี้แล้วเราจะเห็นได้จากความใส่ใจ ติดตาม ตรวจสอบ เร่งรัด ไม่ใช่แต่ว่า “สั่งการไปแล้ว “ ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่ติดขัดจากการก่อสร้าง ก็แค่ปรับ ขยับ เปลี่ยน บางอย่าง ก็น่าจะทำให้ดีขึ้นได้แม้เล็กน้อย แต่ว่าได้ใจของประชาชนอย่างเต็มที่ การประชุมหาข้อสรุปได้อย่าเป็นรูปธรรมพร้อมกรอบเวลา ซึ่งก็คือความคาดหวังของประชาชน และทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นต้องเร่งรัดงานในหน้าที่ของตนเอง
หลายเรื่องที่ท่านได้ทำในช่วงสองสัปดาห์นี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรใหม่ เช่น “ดนตรีในสวน” เคยมีอยู่แล้ว คาถามคือ “ทำไม่ ผู้ว่า คนก่อนไม่ทำ” หรือ การใช้นักโทษลอกท่อซึ่งเคยมีข้อขัดข้องทางระเบียบ แต่ก็ได้แก้ไขมาปีสองปีที่แล้วก็ไม่เอามาทำ พอชัชชาติประชุมเสร็จมีกรอบเริ่มเรย 1 กรกฏา 2565 ได้ใจไปอีกดอกหนึ่งครับพี่น้อง
เกิดการป่วย หรืออาจจะตาย จากการเสพกัญชา แม้ยังไม่ได้พิสูจน์อย่างชัดเจน แต่ทาง กทม.ออกประกาศ กทม. สั่ง เขตปลอดกัญชา-กัญชงในโรงเรียนสังกัด กทม. มีผลทันที พร้อมแนวทางการเฝ้าระวังกัญชาในสถานศึกษา จับตาอาหาร-ขนมเด็ก พร้อมความช่วยเหลือเคสฉุกเฉินจากการกินกัญชา คำสั่งออกมาเพียงชั่วข้ามคือน ก็เลย ขอถามว่าถ้าเป็นสมัยก่อนหน้าแม้จะมีนโยบายแต่คำสั่งกว่าจะออกคิดว่ากี่วันผู้ว่าถึงได้ลงนามและมีผล คงไม่น้อยกว่า 10 วันหรืออาจจะถึง 30 วันก็ได้ ซี่งก็ทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องออกคำสั่งในวันรุ่งขึ้นตามมาสำหรับสถานศึกษาสังกัด ศธ. ดีครับช่วยกันทำงาน ช่วยกันเร่งรัด นโยบาย ทำได้ทันที่ แค่ มุ่งมั่น ตั้งใจ และลงมือทำ กำกับ เร่งรัด เป็นตัวอย่างที่ผู้นำ และ ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยงานสมควรนำไปปฏิบัติ
นโยบายเรื่องผ้าอนามัยฟรี เขตบางขุนเทียนดำเนินการได้ทันที่สำหรับนักเรียนในสังกัด กทม.ที่อยู่ในเขตบางขุนเทียน สามารถดำเนินการได้ทันที 16 โรงเรียนในสังกัด จำนวน นร.2,000 คน ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัล พระราม 2, ชมรมรักบางขุนเทียน, สโมสรกีฬาบางขุนเทียน สโมสรโรตารี กรุงเทพ บางขุนเทียน เป็นต้น ได้ดำเนินการตั้งแต่ 28 พฤษภาคม 2565 ซึ่งเรามีการเลือกตั้งวันที่ 22 พค. 2565 ยังไม่ได้ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ หุ หุ หุ
และอีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือ การลงพื้นทีไม่ต้องให้ข้าราชการที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาต้อนรับและไม่ต้องมีป้ายต้อนรับ เพราะเสียเวลาทำงานของ ขรก.ที่ไม่เกี่ยวข้อง เราคงเคยเห็น รมต. นายกฯ ลงพื้นที่ จะเห็นว่าเกือบทุกกระทรวงทบวงกรมทุกระดับ ปลัด อธิบดี ฯลฯ มากันตรึม.... ทำให้เสียงานเสียการยิ่งมาจากส่วนกลางก็มี คชจ. เดินทาง อาหาร ที่พัก เบี้ยเลี้ยงอีก ไปเพื่ออิหยังหว่า ..????
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เราได้ “ผู้ว่า “ ที่เป็น “ผู้นำ” ในดวงใจหรือเปล่า ต้องรอดูชัดๆอีก 3 ปี 11 เดือนที่เหลือ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน “ ไม่ใช่ “ บ่น หงุดหงิด ตวาด “ แบบใครบางคน คงนึกออกนะครับ 5555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น