เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน “สังสรรค์ประจำปี ของบัณฑิต พลศึกษารุ่นที่ 7 เคยู 38 “ ซึ่งตอนนี้พวกเราทั้งหลายก็อายุ 63-65 ปีแล้ว ร่างกายก็ร่วงโรยไปตามวัย คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่น่าจะเกิน 20-30 ปีข้างหน้า ก็เลยตกลงกันว่าแต่ละปีเราจะเจอกัน 3 ครั้ง เมษายนจะจัดงานในกทม. และเชิญครูเก่าๆของพวกเรามาร่วมงานช่วงหลังสงกรานต์ พร้อมทั้งขอรถน้ำขอพรจากคณาจารย์ และฉลองวันเกิดให้เพื่อนๆที่เกิดระหว่าง มกราคม-มิถุนายน ครั้งที่สองจะไปยังต่างจังหวัดในเดือนสิงหาคม เพื่อฉลองวันเกิดให้เพื่อนๆที่เกิดช่วงเดือน กรกฏาคม-ธันวาคม ซึ่งสองครั้งแรกเพื่อนที่เกิดจะเป็นคนจ่ายค่าอาหาร ส่วนครั้งสุดท้ายจะจัดในเดือนธันวาคม และมีงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับ ครูและเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยมีครูที่เสียชีวิตไปแล้ว 11 คน และเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว 7 คน หากท่านผู้อ่านจะนำไปเป็นแนวทางเพื่อนัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ
ในปี 2566 นี้เรานัดหมายกันไปที่ นครศรีธรรมราชและสงขลา เพราะมีเพื่อนใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุอยู่ในจังหวัดทั้งสอง ก็ได้มีโอกาสใช้ชีวิตสามวันสองคืนในจังหวัดทั้งสอง โดยปกติแล้วเรามักจะสังเกตุและจดจำกลยุทธ์ทางการตลาดหรือการบริหารธุรกิจจากธุรกิจขนาดใหญ่ หรือ ขนาดกลาง แต่ครั้งนี้ได้มีโอกาสมองธุรกิจขนาดเล็กที่เรียกได้ว่า “ธุรกิจบ้านๆ” ซึ่งจากเสียงสะท้อนส่วนใหญ่ว่าเศรษฐกิจแย่ รากหญ้าจะตายกันหมดแล้ว บลาๆๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่พบเห็นได้โดยทั่วไป แต่ก็ยังคงมีธุรกิจแบบบ้านๆที่ยังคงอยู่และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เรามาดูกันว่าเค้าดำเนินธุรกิจหรือร้านค้าของเค้าอย่างไร เพราะหากเราไปดูแคมเปญ หรือ กลยุทธ์ของบริษัทใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร ปตท ซีพี แล้วอาจจะปวดหัว และท้อใจ เราไม่มีทั้ง งบ คน ทรัพยากร ฯลฯ แต่ธุกิจแบบบ้านๆนี้ใกล้ตัวเรา คงสามารถนำไปใช้หรือพัฒนากับร้านค้าของตนเองได้
ร้านแรกคือ “บังบ่าว” ซึ่งเป็นร้านน้ำชาเมืองนครฯที่อยู่คู่กับเมืองนครมาแล้วตั้งแต่ปี 2529 ตอนเพื่อนแจ้งว่าเราจะไปกินอาหารเย็นที่ร้านนี้ แต่ละคนก็สอบถามว่า มี อาหาร .... หรือไม่ ปรากฏว่าเพื่อนบอกว่ามีทุกอย่างที่เพื่อนๆถาม ไอ้ผมก็งงว่าร้านนี้มันขายทุกอย่างเรยหรือ (ว๊ะ) พอเข้าร้านไปมีจริงๆ แถมใช้ระบบการสั่งสินค้าที่ทางพนักงานเสิรฟใช้มือถือส่งออเดอร์ไปยังพ่อครัวแม่ครัว หรือ แผนกน้ำ/เครื่องดื่ม และที่สำคัญเมนูอาหารนั้นหลาหลายมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว โดยเฉพาะเครื่องดื่มและของว่าง ของหวาน และ “โรตี” ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน โดยผมได้สั่งแบบว่าไปหากินที่ร้านอื่นๆไม่ได้ คือ “โรตี ภูเขาไฟ” และ “ชาฝอยทอง” ตาม และ “ชาฝอยทอง” ตามภาพประกอบเลยครับ ที่ไม่ธรรมดาเพราะมีให้เลือก 30-40 แบบ ได้พบกับลูกชายบังบ่าวดูแลกิจการด้วยตนเอง ซึ่งตอนนี้ขยายออกไปเป็น 10 กว่าสาขา และยกระดับมาเปิดที่ ไอคอนสยาม เสียด้วย เป็นการยกระดับจากบ้านสู่ห้าง
ร้านที่สอง คือ “ขนมจีนป้าเขียว” ซึ่งเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในสวนที่อำเภอลานสกา ใกล้ๆกับครีวง ที่มีบิสิเนสโมเดลต่างจากร้านขนมจีนที่อื่น คือปกติเราก็จะสั่งว่าจะเอาขนมจีน น้ำพริก(รสหวาน) น้ำกะทิ น้ำแกงเผ็ด(ภาคกลางเรียกน้ำยาป่า ) แกงน้ำเคย( แกงไตปลา ) แต่ที่นี้มีแบบว่าไปหลายคนสั่งเส้นขนมจีน 1 ถาด น้ำหนัก 1 กก. ในราคา 150 บาท โดยน้ำยาทั้งสี่ชนิด ผักทั้งหลาย ฟรี เรียกได้ว่า ก็ตกคนละ 35 บาท ถึง 50 บาท ต่อคน แต่หากเพิ่มไข่ต้ม หรือ แกงเขียวหวานก็เพิ่มเมนูและจ่ายเงินค่าไข่ต้ม ส่วนแกงเขียวหวานก็ 30 บาท/ถ้วย แถมยังมีไก่ทอดรสอร่อยๆที่เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่ต้องสั่งเพราะกรอบอร่อยมากจริงๆ และมีผงที่ใช้คลุกไก่เพื่อทอดขายกลับเอามาทอดเองที่บ้านได้อีกด้วย
เรียกได้ว่าถ้านำแนวทางในการทำธุรกิจแบบบ้านๆมาปรับใช้ ก็สามารถที่จะอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่กว่าทั้งสองร้านจะผ่านจุดนั้นมาได้ก็คงต้องอาศัยความมุ่งมัน การสังเกตุ การปรับปรุงร้าน การดำเนินการของร้านให้ถูกกับจริต รสชาด การบริการ ฯลฯ นั่นเอง