26 ตุลาคม 2566
ตอนเรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสลงเรียนวิชา “เศรษฐศาสตร์” น่าจะอยู่ราวๆปี 2522 แถมเกรดก็ได้แค่ C+ ซึ่งก็บ่งบอกถึงองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่เท่าหางอึ่ง แต่เวลาผ่านไป 44 ปีผ่านร้อนผ่านหนาวและวิกฤตเศรษฐกิจ ประสบการณ์สอนให้เข้าใจเศรษฐศาสตร์มากขึ้น แบบเรียกได้ว่า “เศรษฐศาสตร์ชาวบ้าน” ก็เลยอยากแสดงความคิดเห็นเรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาลเศรษฐาที่คิดจะทำให้คนเป็นเศรษฐี และอาจจะต่างจากมุมมองของนักวิเคราะห์ทั้งหลายที่อาจจะมีมุมมองทางการเมืองแอบอยู่นิดๆ โดยจะทำเป็นแบบตั้งคำถามและข้อสังเกตเป็นข้อๆโดยปราศจากอคติใดๆทั้งสิ้น ดังนี้
1.ถ้าคุณมีเงินจับจ่ายใช้สอยพอเพียง โดยผมจะขอยกตัวอย่างโดยเอาตัวเองและคนรอบข้างเป็นเกณฑ์ ก็จะพบว่าหากได้เงินมา ก็จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการบริโภคโดยเก็บเงินของตัวเองไว้เพราะเราก็คงจะบริโภคเท่าเดิมหรืออาจจะเพิ่มเติมเล็กน้อย สมมุติว่าผมไปซื้อของซุปเปอร์เดือนละ 5,000 บาท ครบสี่เดือนเงินหนึ่งหมื่นบาทก็หมด ผมค่อยเอาเงินของผมมาซื้อของในซุปเปอร์ต่อไป หรือผมอาจจะซื้อทีเดียวครบหนึ่งหมื่นบาทเรยแต่ก็เก็บสินค้าเหล่านั้นไว้บริโภค พอสินค้าหมดก็ค่อยไปซื้อใหม่ประมาณนี้ หรือผมวางแผนว่าจะซื้อทีวีตอนเดือนมิถุนายน พอได้เงินมาก็ซื้อเสียก่อนเรียกว่าใช้สิทธิของตนเอง พอมิถุนายนก็ไม่ต้องซื้อแล้ว
2.เท่ากับว่าไม่ได้เกิดกระตุ้น “การใช้จ่ายที่แท้จริง” มันไม่ไม่ REAL DEMAND เพราะว่าเพียงแต่เอาเงินรัฐบาลแจกมาใช้ก่อน มันไม่ได้เกิดจากความต้องการที่แท้จริง หรือ ทำให้เกิดการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริงนั่นเอง เพราะรัฐบาลคิดว่าพอคนจับจ่ายใช้สอย 5.6 แสนล้าน เอกชนก็ต้องเพิ่มกำลังผลิต ลงทุน ....หยุดก่อน..หาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะว่าทุกวันนี้แต่ละโรงงานมีกำลังผลิตเหลือเฟื้อ ก็คงเพิ่มการผลิตแต่คงไม่ลงทุนขยายกิจการเป็นแน่เท้
3.แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเงิน ก็คงจับจ่ายใช้สอย เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนเพราะเงินในกระเป๋าไม่ค่อยมี หรือ เรียกว่าต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่าย ก็จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้ในส่วนนี้เพราะเดิมคนมีรายได้ 12,000 บาท ชักหน้าไม่ถึงหลังต้องกินข้าวไม่ครบมือหรือไม่อิ่มท้อง ก็สามารถมีเงินมาซื้อข้าวได้ครบมื้อ ในปริมาณที่กินอิ่มท้อง หรือ ได้อาหารที่เป็นเนื้อหนังมากขึ้นมากกว่า ข้าวไข่เจียว หรือ บะหมี่สำเร็จรูป
4.คำถามว่าแล้วมีคนที่พอจะมีเงินจับจ่ายใช้สอยจริงกี่คน ( Real Demand ) สมมุติว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเงิน 5.6 แสนล้านก็จะถูกนำไปใช้จ่ายให้เกิด “การหมุนเวียนที่แท้จริง” 2.8 แสนล้าน หมุนให้เต็มที่ 3 รอบ ก็จะ 7.4 แสนล้านบาท ไม่ใช่ 3 .5 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลคำนวน
5.แล้วมันคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ??? อันนี้มีปัจจัยอื่นเข้ามาแทรกให้คิดคำนวนมากขึ้น แต่จากปากของผู้บริหารสูงสุดของไอเอ็มเอฟเองบอกว่า “ไม่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว” ผมคงไม่ไปคิดถึงว่าแล้วจะเอาเงินจากไหน “ของฟรี ไม่มีในโลก” ยังเป็นคำที่ใช้ได้อยู่เพราะไม่ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ด้วยวิธีใด ก็จะเป็นสิ่งที่ประชาชนจะต้องจ่าย ก็แค่จะจ่ายคืนด้วยวิธีใด ปีละเท่าใด กี่ปีจะหมด เพราะรัฐก็ต้องเอาเงินภาษี / รายได้ของรัฐ อย่างใดอย่างหนึ่งมาจ่ายนั่นเอง
6.ที่สำคัญไปกว่านั้น ร้านค้าที่จะสามารรับเงินแจกนี้ได้ จะมี เซเว่นอีเลฟเว่นของซีพี มีบิกซีของเบียร์ช้าง มีเซ็นทรัลมีเอ็มโพเรียม ฯลฯ ด้วยหรือไม่ เพราะหากมีแล้วเค้าเอาไปซื้อ ของแบรนด์เนม สินค้าจากต่างประเทศ หรือแม้จะเป็นของไทยๆแต่กำไรไปตกกับเจ้าสัวทั้งหลายหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีใครเคยกล่าวถึงและรัฐก็ยังไม่ได้แถลงว่าจะมีกติกาในเรื่องนี้อย่างไรแล้วจะปรับแต่งโครงการอย่างไร ??
7.แจกเฉพาะคนเปราะบางจริงๆ เช่น ไม่แจกคนที่มีเงินในธนาคารเกิน 200,000 บาท / มีที่ดินเกิน 100 ตารางวา / มีเงินเดือนเกิน 30,000 บาท / บำนาญเกิน 30,000 บาท ฯลฯ เป็นต้น โดยตัวเลขปรับแต่งได้ตามแต่จะเห็นสมควร ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐก็อาจจะเลือกแนวทางนี้ คือไม่แจกทุกคนเพราะได้ยินนายกฯพูดถึงเรื่องนี้เมื่อวานนี้ ( 25 ตุลาคม 2566 ) ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี หรืออย่างง่ายๆเลยก็แจกคนที่มีบัตรสวัสดิการ 14-15 ล้านคน ที่ผมเชื่อว่าหากมีเวลาสกรีนออกน่าจะมีไม่ถึง 10-12 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ใช้งบประมาณค่า 1.0-1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น ไม่ต้องไปกู้เงินเรยปรับแต่งโยกงบประมาณมาดำเนินการได้เลย ไม่ต้องเสี่ยงติดคุกติดตะรางหากผิดพลาดไป..... นอกจากนี้แล้วกำหนดเลยว่าให้ซื้อได้จากกิจการเอสเอ็มอีเท่านั้น และใช้ทั้งอำเภอ หรือ จังหวัด ที่มีหลายคนเสนอแล้ว
8.เอาเงินที่เหลือมาดำเนินการจัดอีเวนต์ ถ้านึกไม่ออกนึกถึงงานกาชาด หรือ งานแข่งขันวิ่งเช่นบุรีรัมย์มาราธอน หรือบางแสน 21 งานโอท้อปแต่ละจังหวัดแต่ต้องมีศิลปินมาเรียกแขกด้วยนะ ที่มีคนเข้าร่วมเป็นหมื่นๆคน ให้ชาวบ้านร้านตลาดมาขายของ เงินของผู้ที่ได้รับแจกก็จะนำมาจับจ่ายใช้สอยในงาน แถมคนที่ไม่ได้รับแจกมาร่วมงานก็จะเกิดการจัดจ่ายใช้สอยเช่นเดียวกัน
9.เอาเงินที่เหลือมาทำโครงการอื่นๆ โดยเน้นที่ธุรกิจบริการ เพราะว่าธุรกิจบริการไม่ใช้มันหมดไป ไม่สามารถเก็บไว้ได้ ต้องบริโภค ณ. ขณะรับบริการเท่านั้น โดยให้ปรับแต่ง “คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นโครงการเดียวในสมัยลุงตู่ที่ผมเห็นด้วย 5555 มาใช้เพื่อให้คนมีเงินช่วยออกครึ่งหนึ่งแทน แต่คงกลัวว่าภาพจำจะไปตกกับลุงตู่.... งั้นก็เปลี่ยนเป็นให้รัฐออก 25 เปอร์เซนต์ คนใช้ออก 75 เปอร์เซนต์ และ เปลี่ยชื่อเป็น “รัฐเสี้ยวเดียว” แทนก็คงจะเสียว และ เก๋ไก๋ สไลเดอร์ ไม่น้อย .......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น