วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566

“ธุกิจบ้านๆ...เบิกบานฤทัย 31 ตุลาคม 66

 

        เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน “สังสรรค์ประจำปี  ของบัณฑิต พลศึกษารุ่นที่ 7  เคยู 38 “  ซึ่งตอนนี้พวกเราทั้งหลายก็อายุ 63-65 ปีแล้ว  ร่างกายก็ร่วงโรยไปตามวัย  คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่น่าจะเกิน 20-30 ปีข้างหน้า   ก็เลยตกลงกันว่าแต่ละปีเราจะเจอกัน 3 ครั้ง  เมษายนจะจัดงานในกทม. และเชิญครูเก่าๆของพวกเรามาร่วมงานช่วงหลังสงกรานต์  พร้อมทั้งขอรถน้ำขอพรจากคณาจารย์    และฉลองวันเกิดให้เพื่อนๆที่เกิดระหว่าง มกราคม-มิถุนายน    ครั้งที่สองจะไปยังต่างจังหวัดในเดือนสิงหาคม   เพื่อฉลองวันเกิดให้เพื่อนๆที่เกิดช่วงเดือน  กรกฏาคม-ธันวาคม  ซึ่งสองครั้งแรกเพื่อนที่เกิดจะเป็นคนจ่ายค่าอาหาร     ส่วนครั้งสุดท้ายจะจัดในเดือนธันวาคม   และมีงานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับ ครูและเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว   โดยมีครูที่เสียชีวิตไปแล้ว 11 คน และเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว 7 คน   หากท่านผู้อ่านจะนำไปเป็นแนวทางเพื่อนัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ

           ในปี 2566 นี้เรานัดหมายกันไปที่  นครศรีธรรมราชและสงขลา  เพราะมีเพื่อนใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุอยู่ในจังหวัดทั้งสอง   ก็ได้มีโอกาสใช้ชีวิตสามวันสองคืนในจังหวัดทั้งสอง    โดยปกติแล้วเรามักจะสังเกตุและจดจำกลยุทธ์ทางการตลาดหรือการบริหารธุรกิจจากธุรกิจขนาดใหญ่ หรือ ขนาดกลาง   แต่ครั้งนี้ได้มีโอกาสมองธุรกิจขนาดเล็กที่เรียกได้ว่า  “ธุรกิจบ้านๆ”  ซึ่งจากเสียงสะท้อนส่วนใหญ่ว่าเศรษฐกิจแย่  รากหญ้าจะตายกันหมดแล้ว  บลาๆๆ   ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่พบเห็นได้โดยทั่วไป   แต่ก็ยังคงมีธุรกิจแบบบ้านๆที่ยังคงอยู่และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ   เรามาดูกันว่าเค้าดำเนินธุรกิจหรือร้านค้าของเค้าอย่างไร   เพราะหากเราไปดูแคมเปญ หรือ กลยุทธ์ของบริษัทใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ธนาคาร  ปตท  ซีพี  แล้วอาจจะปวดหัว และท้อใจ  เราไม่มีทั้ง งบ  คน  ทรัพยากร ฯลฯ แต่ธุกิจแบบบ้านๆนี้ใกล้ตัวเรา  คงสามารถนำไปใช้หรือพัฒนากับร้านค้าของตนเองได้

          ร้านแรกคือ  “บังบ่าว”  ซึ่งเป็นร้านน้ำชาเมืองนครฯที่อยู่คู่กับเมืองนครมาแล้วตั้งแต่ปี 2529  ตอนเพื่อนแจ้งว่าเราจะไปกินอาหารเย็นที่ร้านนี้  แต่ละคนก็สอบถามว่า มี อาหาร .... หรือไม่  ปรากฏว่าเพื่อนบอกว่ามีทุกอย่างที่เพื่อนๆถาม  ไอ้ผมก็งงว่าร้านนี้มันขายทุกอย่างเรยหรือ (ว๊ะ)  พอเข้าร้านไปมีจริงๆ   แถมใช้ระบบการสั่งสินค้าที่ทางพนักงานเสิรฟใช้มือถือส่งออเดอร์ไปยังพ่อครัวแม่ครัว  หรือ แผนกน้ำ/เครื่องดื่ม    และที่สำคัญเมนูอาหารนั้นหลาหลายมากจริงๆ   ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว  โดยเฉพาะเครื่องดื่มและของว่าง  ของหวาน  และ “โรตี” ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน  โดยผมได้สั่งแบบว่าไปหากินที่ร้านอื่นๆไม่ได้  คือ  “โรตี  ภูเขาไฟ”   และ  “ชาฝอยทอง”  ตาม และ  “ชาฝอยทอง”  ตามภาพประกอบเลยครับ  ที่ไม่ธรรมดาเพราะมีให้เลือก  30-40 แบบ   ได้พบกับลูกชายบังบ่าวดูแลกิจการด้วยตนเอง   ซึ่งตอนนี้ขยายออกไปเป็น 10 กว่าสาขา   และยกระดับมาเปิดที่    ไอคอนสยาม  เสียด้วย    เป็นการยกระดับจากบ้านสู่ห้าง



            ร้านที่สอง คือ  “ขนมจีนป้าเขียว”  ซึ่งเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในสวนที่อำเภอลานสกา  ใกล้ๆกับครีวง     ที่มีบิสิเนสโมเดลต่างจากร้านขนมจีนที่อื่น  คือปกติเราก็จะสั่งว่าจะเอาขนมจีน  น้ำพริก(รสหวาน)    น้ำกะทิ   น้ำแกงเผ็ด(ภาคกลางเรียกน้ำยาป่า )   แกงน้ำเคย( แกงไตปลา )   แต่ที่นี้มีแบบว่าไปหลายคนสั่งเส้นขนมจีน 1 ถาด น้ำหนัก 1 กก.  ในราคา 150 บาท  โดยน้ำยาทั้งสี่ชนิด  ผักทั้งหลาย ฟรี  เรียกได้ว่า ก็ตกคนละ 35 บาท ถึง 50 บาท ต่อคน  แต่หากเพิ่มไข่ต้ม  หรือ  แกงเขียวหวานก็เพิ่มเมนูและจ่ายเงินค่าไข่ต้ม ส่วนแกงเขียวหวานก็ 30 บาท/ถ้วย    แถมยังมีไก่ทอดรสอร่อยๆที่เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่ต้องสั่งเพราะกรอบอร่อยมากจริงๆ  และมีผงที่ใช้คลุกไก่เพื่อทอดขายกลับเอามาทอดเองที่บ้านได้อีกด้วย

 



 

            เรียกได้ว่าถ้านำแนวทางในการทำธุรกิจแบบบ้านๆมาปรับใช้  ก็สามารถที่จะอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน  แต่กว่าทั้งสองร้านจะผ่านจุดนั้นมาได้ก็คงต้องอาศัยความมุ่งมัน  การสังเกตุ การปรับปรุงร้าน  การดำเนินการของร้านให้ถูกกับจริต  รสชาด  การบริการ ฯลฯ  นั่นเอง

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...