(ภายจาก :กรรมกรข่าว)
สงครามการค้ายังหาจุดจบและลงตัวไม่ได้ ซึ่งได้เกิดขึ้นระหว่าง จีน และ สหรัฐอเมริกา เริ่มมา ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018 โดยทรัมป์ประกาศเก็บ ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน
วงเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ โดยอ้างถึง การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
กับจีน , การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา, การบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีจากบริษัทสหรัฐฯเมื่อไปลงทุนในจีน
ซึ่งทางจีนก็ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
ตอบโต้ในระดับเดียวกัน หลังจากนั้นก็ลุ่มๆดอนๆมาตลอด จนมาเมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานธิบดีอีกสมัย และได้ประกาศสงครามแบบเต็มรูปแบบกับจีนเริ่มในเดือน
กพ. 68 โดยปรับขึ้นภาษีระหว่างกันไปมา รวมแล้ว
145%
ช้างสารชนกันหญ้าแพรก็แหลกราญ นี่พอมีเวลาให้หายใจอีก 90 วัน เพราะทรัมป์ประกาศขยายเวลาบังคับใช้ และบางหมวดสินค้าก็ยกเลิกการเก็บภาษีมหาโหดที่ทำร้ายทุกประเทศในโลก รวมทั้งสหรัฐเองด้วย เหมือนกับการเล่นไพ่เกกันไปมาโดยที่อาจจะไม่ได้ดูไผ่ในมือตนเอง
หรือประเมิณจีนต่ำไปหรือไม่
ทำให้ในทศวรรษตที่หายไปต้องเพิ่มปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าในครั้งนี้ลงไปด้วย แม้ว่าทศวรรษตที่ผ่านมาจะมีสินค้ามากมายที่หายไปอันเนื่อมากจาก
พฤติกรรมผู้บริโภค บริบททางสังคม และเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนแปลงไป
การมีสตรีมมิ่งภาพยนต์ บันเทิง
ไม่ว่าจะเป็ฯน Netflix,
Disney+, Spotify
กล้องดิจิทัลคอมแพค ที่หายไปเพราะสมาร์ตโฟนถ่ายรูปได้ดีขึ้นมากสามารถทำวีดีโอ และตกแต่งภาพ
ด้วยแอพพลิเคชั่น และ AI ที่นับเป็นกระแสในปัจจุบัน
ทางด้านสังคม เช่นการใช้โอนเงินทางออนไลน์ คิวอาร์โคด เหมือนที่เราเห็นกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ คือการให้เงินขอทานในจีนผ่านทางคิวอาร์โคด
การทำงาน การประชุม ออนไลน์
รวมทั้งการเรียนการสอนด้วย
ซึ่งถูกกระตุ้นในสมัยโควิดระบาดนั่นเอง
แล้วทศวรรษตที่ผ่านมาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมีผลกระทบอย่างไรบ้าง
สามารถแบ่งได้เป็น 6 ด้าน ดังนี้
1.
คุณภาพการศึกษาและแรงงาน
เราผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับความต้องการของตลาด
แถมผลิตแบบไม่ได้คุณภาพอีกด้วย มีแต่บัณฑิตซึ่งตอบสนองความต้องการทางสังคมที่ลูกต้องเรียยนจบปริญญา
(สาขาอะไรก็ได้ขอให้จบมาก่อน) เราต้องสายวิทยาศาสตร์ ก็ดันผลิตสายสังคมมากกว่า แถมยังเน้นในเรื่องการท่องจำ ไม่สามารถคิด วิเคราห์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ยกตัวอย่างเช่น ลองถามพนักงานดูว่าทำไมทำอย่างนี้ ก็จะได้คำตอบประมาณว่า พี่ ...
เค้าให้ทำแบบนี้
แทนที่จะตอบว่าการทำแบบนี้นั้นสามารถทำให้งานรวดเร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บลาๆๆๆ นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยทั้งหลายผมไม่มีตัวเลขที่แท้จริงแต่ประมาณว่า
80-90% เป็นงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ ที่แทบจะเอาไปต่อยอดหรือพัฒนาได้น้อยมากๆ
2.นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ประเทศไทยนั้นต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถแข่งขันได้ โดยดูจากดัชนีนวัตกรรมโลก
(Global Innovation Index - GII) ปี 2024
ซึ่งจัดทำโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ประเทศไทยมีอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดังนี้: (ข้อมูลจาก : TheGlobalEconomy.com / Slovanian Trime
)
ระดับโลก อันดับที่ 41
จาก 132 ประเทศWIPO
ระดับเอเชียอันดับที่ 9
จาก 17 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอ
ระดับอาเซียน อันดับที่ 3
รองจาก: สิงคโปร์
(อันดับที่ 4 ของโลก)
มาเลเซีย (อันดับที่ 33 ของโลก ตามด้วย เวียดนาม
(อันดับที่ 44 ของโลก) ฟิลิปปินส์
(อันดับที่ 56 ของโลก) อินโดนีเซีย
(อันดับที่ 61 ของโลก)
3. สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ การสร้างเงื่อนไข ความซับซ้อนของกฎหมาย
กฎระเบียบราชการ และการขออนุญาตต่าง ๆ (Ease of Doing Business ลดลง) รวมทั้งปัญหาคอรัปชั่นที่เบ่งบานเหลือเกินในรอบ
20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าทั้งรัฐบาลเลือกตั้ง
หรือ รัฐบาลจากการปฏิวัติ เรียกได้ว่าหนีเสือปะจรเข้
(ที่ตัวใหญ่กว่าหรือเปล่า ?) จน สตง. ตึกถล่มจากแผ่นดินไหวยิ่งทำให้เห็นความเน่าเฟะของระบบการเมือง และ ระบบราชการไทย หดหู่....... เราเคยเห็นเกาหลีใต้ที่ล้าหลังเราเมื่อ 50 ปีก่อนแต่พอปราบคอรัปชั่นได้ และปรับระบบการศึกษา เท่านนั้นและประเทศไปติดระดับโลกเรย ทุกวันนี้เวลาไปติดต่องานราชการในนามบริษัทยังต้องมีสำเนาหนังสือรับรองบริษัท
และ สำเนาบัตรประชาชน (ดีหน่อยที่ว่า ตอนนี้ทะเบียนบ้านไม่ต้องแล้ว) ถามเจ้าหน้าที่ว่าเอาไปทำมัย ตอบแบง่ายๆซื่อๆว่า ..... “ทำมาตั้งแต่ดั้งเดิม” จุก...ๆๆๆๆ
นอกจากนี้แล้วปัญหาความมั่นคงทางการเมื่องที่หามีไม่ ทำให้ต่างชาติต้องทบทวนการมาลงทุนในประเทศไทย โดยดูได้จากการลงทุนโดยตรง ปี 2021: FDI อยู่ที่ประมาณ 15.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ ปี 2023:
ลดลงอย่างมากเหลือเพียง 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ( https://www.macrotrends.net/)
4. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ เราคุยกันเรื่องรถไฟรางคู่ จำไม่ได้ว่าเริ่มในปีใดแต่พอเค้าลางได้ว่า
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ตอนนี้ก็เป็น สว. แล้วน่าจะยังสร้างไม่ถึง ครึ่งหนึ่งของเส้นทางรถไฟทั้งหมด
(ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง)
ยิ่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าให้สร้างถนนลูกรังให้หมดไปก่อน วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ช่วง กทม โคราช
ไปถึงไหน นี่เห็นว่าบริษัทผู้รับเหมาเป็นบริษัทเดียวกับที่สร้างตึก
สตง. หรือเปล่า ? แล้วระบบขนส่งเราจะสะดวก
รวดเร็ว ประหยัดไปได้อย่างไร คงต้องรอหลานเรียนจบปริญญาก่อนก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือไม่
6.
โครงสร้างประชากรและสังคมไทย ที่ ณ.ปี
2567 เรามีผู้อายุ 60 ขึ้นไป 13.0 ล้านคน
คิดเป็น 16.07% ของประชากรเรียกได้ว่าเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์นั่นเอง และหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าจำนวนประชากรของเราลดลงในช่วง
4 ปีที่ผ่านมาติดลบทุกปี
คือคนตายมากกว่าคนเกิดรวมสี่ปีระหว่างปี 2564-2567 ประชากรเราติดลบไป 270,398 คน ดังนั้น
อีก 16-20 ปีข้างหน้าประชากรในวัยทำงานจะลดลง 3 แสนคนเช่นเดียวกัน ??? ประเด็นนี้ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น
ในขณะที่แรงงานลดลง อันอาจจะมีผลต่อผลผลิตของประเทศทั้งด้านเกษตรกรรม
และ อุตสาหกรรมนั่นเอง
6.. ความสามารถในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งหมายถึงโลกกำลังเปลี่ยนแปลงแต่ประเทศไทยปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง นักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่เรียกว่าเอสเคิรฟ์นั้น
ต้องการแรงงานทางสายวิทยาศาสตร์ที่เราผลิตไม่พอ หรือมีคุณภาพไม่เพียงพอ นอกจากนี้แล้วการปรับตัวต่อระบบการค้า
และแนวโน้มในเรื่อง ESG (Environment, Social, Governance) เรายังตามหลายประเทศไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อธรรมาภิบาล
อีกทศวรรษตหน้า หรืออย่างมากก็สองทศวรรษต ผมก็อาจจะจากลาไปแล้วคงไม่มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น