วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

ทศวรรษตที่หายไป

 

(ภายจาก :กรรมกรข่าว) 


          สงครามการค้ายังหาจุดจบและลงตัวไม่ได้   ซึ่งได้เกิดขึ้นระหว่าง จีน และ สหรัฐอเมริกา  เริ่มมา ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018  โดยทรัมป์ประกาศเก็บ ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน วงเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ โดยอ้างถึง   การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับจีน , การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา, การบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยีจากบริษัทสหรัฐฯเมื่อไปลงทุนในจีน

ซึ่งทางจีนก็ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ตอบโต้ในระดับเดียวกัน  หลังจากนั้นก็ลุ่มๆดอนๆมาตลอด  จนมาเมื่อทรัมป์ได้เป็นประธานธิบดีอีกสมัย   และได้ประกาศสงครามแบบเต็มรูปแบบกับจีนเริ่มในเดือน กพ. 68  โดยปรับขึ้นภาษีระหว่างกันไปมา   รวมแล้ว  145%

ช้างสารชนกันหญ้าแพรก็แหลกราญ  นี่พอมีเวลาให้หายใจอีก 90 วัน เพราะทรัมป์ประกาศขยายเวลาบังคับใช้  และบางหมวดสินค้าก็ยกเลิกการเก็บภาษีมหาโหดที่ทำร้ายทุกประเทศในโลก   รวมทั้งสหรัฐเองด้วย  เหมือนกับการเล่นไพ่เกกันไปมาโดยที่อาจจะไม่ได้ดูไผ่ในมือตนเอง หรือประเมิณจีนต่ำไปหรือไม่

ทำให้ในทศวรรษตที่หายไปต้องเพิ่มปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าในครั้งนี้ลงไปด้วย   แม้ว่าทศวรรษตที่ผ่านมาจะมีสินค้ามากมายที่หายไปอันเนื่อมากจาก  พฤติกรรมผู้บริโภค บริบททางสังคม  และเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนแปลงไป

        การมีสตรีมมิ่งภาพยนต์  บันเทิง  ไม่ว่าจะเป็ฯน   Netflix, Disney+, Spotify

กล้องดิจิทัลคอมแพค ที่หายไปเพราะสมาร์ตโฟนถ่ายรูปได้ดีขึ้นมากสามารถทำวีดีโอ  และตกแต่งภาพ  ด้วยแอพพลิเคชั่น และ AI  ที่นับเป็นกระแสในปัจจุบัน

ทางด้านสังคม  เช่นการใช้โอนเงินทางออนไลน์  คิวอาร์โคด เหมือนที่เราเห็นกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่  คือการให้เงินขอทานในจีนผ่านทางคิวอาร์โคด

การทำงาน การประชุม ออนไลน์   รวมทั้งการเรียนการสอนด้วย   ซึ่งถูกกระตุ้นในสมัยโควิดระบาดนั่นเอง

            แล้วทศวรรษตที่ผ่านมาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมีผลกระทบอย่างไรบ้าง สามารถแบ่งได้เป็น  6 ด้าน  ดังนี้

1. คุณภาพการศึกษาและแรงงาน  เราผลิตบัณฑิตไม่ตรงกับความต้องการของตลาด  แถมผลิตแบบไม่ได้คุณภาพอีกด้วย   มีแต่บัณฑิตซึ่งตอบสนองความต้องการทางสังคมที่ลูกต้องเรียยนจบปริญญา (สาขาอะไรก็ได้ขอให้จบมาก่อน)    เราต้องสายวิทยาศาสตร์  ก็ดันผลิตสายสังคมมากกว่า  แถมยังเน้นในเรื่องการท่องจำ  ไม่สามารถคิด วิเคราห์  แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้  ยกตัวอย่างเช่น ลองถามพนักงานดูว่าทำไมทำอย่างนี้  ก็จะได้คำตอบประมาณว่า พี่ ... เค้าให้ทำแบบนี้    แทนที่จะตอบว่าการทำแบบนี้นั้นสามารถทำให้งานรวดเร็วขึ้น  เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บลาๆๆๆ    นอกจากนั้นแล้วงานวิจัยทั้งหลายผมไม่มีตัวเลขที่แท้จริงแต่ประมาณว่า 80-90%  เป็นงานวิจัยทางสังคมศาสตร์  ที่แทบจะเอาไปต่อยอดหรือพัฒนาได้น้อยมากๆ

2.นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ประเทศไทยนั้นต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถแข่งขันได้  โดยดูจากดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index - GII) ปี 2024 ซึ่งจัดทำโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ประเทศไทยมีอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดังนี้:  ​(ข้อมูลจาก : TheGlobalEconomy.com / Slovanian Trime )

ระดับโลก    อันดับที่ 41 จาก 132 ประเทศWIPO

              ระดับเอเชียอันดับที่ 9 จาก 17 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอ

 ระดับอาเซียน  อันดับที่ 3 รองจาก:   สิงคโปร์ (อันดับที่ 4 ของโลก)   มาเลเซีย (อันดับที่ 33 ของโลก   ตามด้วย  เวียดนาม (อันดับที่ 44 ของโลก)    ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 56 ของโลก)   อินโดนีเซีย (อันดับที่ 61 ของโลก) ​

3. สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ   การสร้างเงื่อนไข ความซับซ้อนของกฎหมาย กฎระเบียบราชการ และการขออนุญาตต่าง ๆ  (Ease of Doing Business ลดลง)   รวมทั้งปัญหาคอรัปชั่นที่เบ่งบานเหลือเกินในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา  ไม่ว่าทั้งรัฐบาลเลือกตั้ง หรือ รัฐบาลจากการปฏิวัติ  เรียกได้ว่าหนีเสือปะจรเข้ (ที่ตัวใหญ่กว่าหรือเปล่า ?)   จน สตง. ตึกถล่มจากแผ่นดินไหวยิ่งทำให้เห็นความเน่าเฟะของระบบการเมือง  และ ระบบราชการไทย  หดหู่.......    เราเคยเห็นเกาหลีใต้ที่ล้าหลังเราเมื่อ 50 ปีก่อนแต่พอปราบคอรัปชั่นได้  และปรับระบบการศึกษา  เท่านนั้นและประเทศไปติดระดับโลกเรย    ทุกวันนี้เวลาไปติดต่องานราชการในนามบริษัทยังต้องมีสำเนาหนังสือรับรองบริษัท และ สำเนาบัตรประชาชน  (ดีหน่อยที่ว่า ตอนนี้ทะเบียนบ้านไม่ต้องแล้ว)  ถามเจ้าหน้าที่ว่าเอาไปทำมัย   ตอบแบง่ายๆซื่อๆว่า ..... “ทำมาตั้งแต่ดั้งเดิม”   จุก...ๆๆๆๆ

นอกจากนี้แล้วปัญหาความมั่นคงทางการเมื่องที่หามีไม่   ทำให้ต่างชาติต้องทบทวนการมาลงทุนในประเทศไทย  โดยดูได้จากการลงทุนโดยตรง     ปี 2021: FDI อยู่ที่ประมาณ 15.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ ปี 2023: ลดลงอย่างมากเหลือเพียง 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ​   ( https://www.macrotrends.net/)

 

4. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์  เราคุยกันเรื่องรถไฟรางคู่ จำไม่ได้ว่าเริ่มในปีใดแต่พอเค้าลางได้ว่า ตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ตอนนี้ก็เป็น สว. แล้วน่าจะยังสร้างไม่ถึง  ครึ่งหนึ่งของเส้นทางรถไฟทั้งหมด (ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง)   ยิ่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าให้สร้างถนนลูกรังให้หมดไปก่อน  วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ช่วง กทม โคราช ไปถึงไหน  นี่เห็นว่าบริษัทผู้รับเหมาเป็นบริษัทเดียวกับที่สร้างตึก สตง.  หรือเปล่า ?  แล้วระบบขนส่งเราจะสะดวก รวดเร็ว  ประหยัดไปได้อย่างไร   คงต้องรอหลานเรียนจบปริญญาก่อนก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือไม่

6. โครงสร้างประชากรและสังคมไทย  ที่ ณ.ปี 2567 เรามีผู้อายุ 60 ขึ้นไป  13.0 ล้านคน คิดเป็น 16.07% ของประชากรเรียกได้ว่าเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์นั่นเอง  และหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าจำนวนประชากรของเราลดลงในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาติดลบทุกปี   คือคนตายมากกว่าคนเกิดรวมสี่ปีระหว่างปี 2564-2567  ประชากรเราติดลบไป   270,398 คน  ดังนั้น  อีก  16-20 ปีข้างหน้าประชากรในวัยทำงานจะลดลง  3 แสนคนเช่นเดียวกัน ???  ประเด็นนี้ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ในขณะที่แรงงานลดลง  อันอาจจะมีผลต่อผลผลิตของประเทศทั้งด้านเกษตรกรรม และ อุตสาหกรรมนั่นเอง

6.. ความสามารถในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก  ซึ่งหมายถึงโลกกำลังเปลี่ยนแปลงแต่ประเทศไทยปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง    นักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่เรียกว่าเอสเคิรฟ์นั้น   ต้องการแรงงานทางสายวิทยาศาสตร์ที่เราผลิตไม่พอ  หรือมีคุณภาพไม่เพียงพอ   นอกจากนี้แล้วการปรับตัวต่อระบบการค้า และแนวโน้มในเรื่อง  ESG (Environment, Social, Governance) เรายังตามหลายประเทศไม่ทัน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อธรรมาภิบาล

อีกทศวรรษตหน้า หรืออย่างมากก็สองทศวรรษต  ผมก็อาจจะจากลาไปแล้วคงไม่มีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...