วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จะเหลืออะไรหรือไม่ ??

 

(เครดิตภาพ : กรุงเทพธุรกิจ) 

จะเหลืออะไรหรือไม่ ??

29 เมษายน 2568

            ทุกวันนี้นักธุรกิจ นักการเงิน และผู้ลงทุนทั้งไทยและเทศต่างส่ายหน้ากับภาวะเศรษฐกิจ    ที่ดูเหมือนจะไม่มีอนาคตเอาเสียเรย   ไม่ว่าจะหันไปทางประเทศใดหรือนักธุรกิจพ่อค้าขนาดใหญ่หรือเล็กก็ตามก็ต่างตอบกันเป็นเสียงเดียวว่า “เศรษฐกิจแย่”  

            แต่เมื่อมองไปยังอัตราการขยายตัวของแต่ละประเทศซึ่งเป็นตัวเลขในภาพแมคโครหรือภาพกว้างต่างก็เห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ  ซึ่งเราคงไม่เอาประเทศเราไปเปรียบกับ G7 หรือ G20 ที่เค้าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว  ขอเปรียบเทียบแค่กับอาเซียน   (เครดิตภาพ : กรุงเทพธุรกิจ)

     

        เราก็จะพบว่าหลายปีที่ผ่านมาการเติบโตของเราอยู่อันดับท้ายๆของอาเซียน  ล่าสุด ปี 2568 ณ.เมษายน  ของเราอยู่รองบ้วย  ชนะแค่เมียนมาร์ซึ่งอยู่กับระบบรัฐประหารแถมมีการสู้รบภายในประเทศและภัยพิบัติต่างๆ  ล่าสุดก็เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่  สร้างความเสียหายจนยากต่อการเยียวยา  

            อย่าไปอ้างว่าเกิดจากโควิด   ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก  หรือแม้แต่อ้าง  ทรัมป์   เพราะทุกชาติในอาเซียนก็ได้รบผลกระทบในลักษณะเดียวกัน  ใกล้เคียงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ดังนั้นหากวิเคราะห์ว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยเรานั้นเป็นอย่างไร   เพื่อที่จะได้พัฒนาปรับปรุงให้ประเทศไทยนั้นน่าลงทุน  เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างมั่นคง  เหมือนในยุคโชติช่วงชัชชวาลย์ ประมาณปี  2520-2535 ก็จะพบว่า

 

 

ความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลงทุกด้านจนแทบจะไม่เหลือที่ยืนในอาเซียนแล้วดังนี้

1. คุณภาพการศึกษาและแรงงาน   เราผลิตบัณฑิตทางสังคมศาสตร์มากมายก่ายกอง  ในขณะที่สายวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ  โดยเฉพาะนักวิจัยโลก  แต่ขาดเสียซึ่งคุณสมบัติในการคิด วิเคราะห์    ค่านิยมว่าต้องมีปริญญายังฝังอยู่ในหัวของประชาชนในทุกระดับชั้นทำให้เราผลิตบุคคลากรที่มีระดับความรู้(ไม่ใช่ความรู้) สูงกว่าความต้องการของตลาดแรงงาน  เช่น เราเห็นพนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อ  จบปริญญาตรี     คนขับแท๊กซี่จบ ปริญญาโท  เป็นต้น 

2.นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เราต้องนำเข้า  และซื้อหา แทบจะไม่มีนวตกรรมและเทคโนโลยี่ที่เป็นของตนเองเรย  ยกเว้นในหมวด อาหาร  และการเกษตรที่พอจะช่วยกู้หน้าได้บ้าง    หากมองย้อนไปเกาหลีเมื่อ 40 ปีที่แล้วเค้าแย่กว่าประเทศไทยไม่รู้กี่เท่า  แย่ขนาดที่ว่าไม่มีเงินจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 6  จนไทยเราต้องรับจัดแทน   แต่วันนี้เราจะเห็นว่าบริษัทเทคฯ  บริษัทรถยนต์  ฯลฯ เป็นของเกาหลีมากมายไม่ว่าจะเป็นซัมซุง  ฮุนได  เกีย  เดวู  หรือ  ศิลปินระดับโลกก็มี K-POP เป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ

3. สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ   การสร้างเงื่อนไข ความซับซ้อนของกฎหมาย กฎระเบียบราชการ และการขออนุญาตต่าง ๆ  (Ease of Doing Business )  ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังต้องขอสำเนาบัตรประชาชน และ ทะเบียนบ้าน  การขออนุญาติก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องขอหนังสือรับรอบบริษัท  พร้อมงบดลุย์  ฯลฯ  ที่เอาไปก็ไม่เคยไปตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่    ทำให้คนที่จะประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องหนีหาย   และเกิดช่องให้มี  “จีนเทา”   “จีนดำ”  เต็มเมืองไปหมด  ทั้งธุรกิจน้อยใหญ่  ตั้งแต่ขายแอร์ซ่อมแอร์  ร้านอาหาร  ร้านสะดวกซื้อ จนเกิดคอมมูนจีนแถวห้วยขวาง ประชาสงเคราะห์ เต็มไปหมด  ไปจนก่อสร้างไชนาเรลเวย์นัมเบอร์10  ที่รับงาน สตง.  หรือ บริษัทแถบระยอง ชลบัรี  เรียกได้ว่าเป็นนิคมศูนย์เหรียญเรย  เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

4. โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์  ที่เรายังต้องพัฒนาอีกหลายสิบปีแม้ระบบถนนจะพัฒนาได้อย่างมีนัยสำคัญ  แต่ระบบรางเราถูกศาลรัฐธรรมนูญระงับว่าไม่ให้กู้เงินเพื่อก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเพราะถนนลูกรังยังไม่หมดไปจากประเทศไทย   ขำไม่ออกเรยจนตอนนี้ยังไม่มีเส้นทางผ่านมา เกือบ30ปี  

5. โครงสร้างประชากรและสังคมไทย  ปี พ.ศ. 2568 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) มีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มากกว่า 14 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20.17% ของประชากรรวม. นอกจากนี้ ยังมีประชากรสูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) ประมาณ 14% ของประชากรรวม  ซึ่งไม่มีผลผลิต (ไม่ได้ทำงาน)  และบุคลากรเหล่านี้จับจ่ายใช้สอยน้อยลงไปตามวัน  แต่จะไปเพิ่มสัดส่วนการใช้จ่ายในภาพสุขภาพและการรักษาโรคแทน   

จำนวนประชากรในวัยแรงงาน ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 ประชากรวัยแรงงาน มี 40.45 ล้านคนอยู่ในกำลังแรงงาน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ต้องนำเข้าแรงงานต่างชาติเข้ามา  4.0 ล้านคน (ที่มา: กรมการจัดหางาน  เมษา 2568 )  ไม่นับที่ผิดกฏหมายซึ่งน่าจะมีอยู่ไม่น้อยกว่า  2-3 ล้านคน  คนเหล่านี้เมื่อได้รับค่าแรงมาก็ใช้จ่ายในประเทศเราเพื่อการยังชีพที่เหลือก็ส่งกลับไปยังครอบครัวในบ้านเกิด  ซึ่งจะไปสร้างอำนาจซื้อในประเทศนั้นแทน 

6.. ความสามารถในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก    ซึ่งรัฐบาลไทยนั้นขาดการเชื่อมโยงกับโลกภายนอก  เพราะเราผลิตสินค้าทีอาจจะเรียกได้ว่าล้าหลัง  ขาดการสร้างสรรค์ ขาดนวตกรรม  (ยกเว้นในหมวดอาหาร)  ในขณะที่โลกต้องการสินค้าเทคโนโลยี่  เอไอ  ไอโอที  นวตกรรม แต่เรากลับพัฒนาไปไม่ทันกับความต้องการของโลก

7.ความมั่นคงทางการเมือง  ปัจจัยนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยติดกับดักการแสวงหาอำนาจ  และ ผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการเมืองที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย  สร้างความเกลียดชังจนมิอาจจะกลับมาเหมือนเดิมได้   ก็ยิ่งทำให้ปัจจัยทั้ง 6 ข้อข้างต้นนั้นไม่มีโอกาสในการพัฒนาได้   เพราะนักการเมือง   ข้าราชการ  องค์กรอิสระ ต่างก็คอยแต่จะตักตวงแสวงหาอำนาจ  ผลประโยชน์  จนไม่มีประชาชน และ ประเทศชาติอยู่ในสมการ

โดยสรุปแล้วอนาคตของประเทศไทยอยู่ตรงไหน...... ผมเองมองไม่ค่อยเห็นโอกาสเสียเท่าใด   !!!

นึกไม่ออกว่าอีก 20-30  ข้างหน้า เราจะล้าหลังเวียดนามหรือไม่ ???  เพราะทุกข้อข้างต้นนั้น เวียดนามได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง   เพราะ ......”ขจัดทุจริต  คอรับปชั่น”  ...... อย่างจริงจังและต่อเนื่อง   ไม่ใช่มีแต่  “คนดีย์”  ที่รองาบประเทศไทย.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...