วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

อยู่อย่างไรในภาวะอนิจจัง

“อยู่อย่างไรในภาวะ อนิจจัง ! “


ท่านผู้อ่านอย่างเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าผมจะเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับธรรมมะ เพราะผมเป็นคนไกลวัดไม่ค่อยได้ลึกซึ้งกับพระธรรมเท่าใด ผมเขียนบทความนี้ในคืนก่อนคริสมาสที่ฝรั่งเรียกว่าคริสมาสอีฟนั่นเอง ซึ่งทุกๆปีคงเป็นการเฉลิมฉลองที่ทุกคนคงมีความสุขแต่จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบโลกของเราตลอดทั้งปีที่ผ่านมาคงทำให้คริสมาสปีนี้เป็นคริสมาสที่ไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าใดนัก ซึ่งก็คงรวมไปการฉลองถึงปีใหม่ด้วย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในอเมริกาและยุโรปใครเลยจะเชื่อว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกที่ผู้บริหารมีเครื่องบินเจ็ตของตัวเองอย่างบิก๊ทรีผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่สุดของอเมริกจะต้องขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ใครเลยจะเชื่อว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนขั้วได้ ใครเลยจะเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับกลุ่มเพื่อนเนวินได้ ใครเลยจะเชื่อว่าพรรคพลังประชาชนที่ได้เสียงมากที่สุดจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทั้งหลายนี้ล้วนอนิจจังทั้งสิ้น มีศัพท์จิ๊กโก๋บอกว่าความไม่แน่นอนคือความแน่นอนนั่นยอมหมายถึงอะไรๆก็เกิดขึ้นได้นั่นเอง
แล้วเราจะอยู่อย่างไรในภาวะ “อนิจจัง” เป็นคำถามที่คลาสสิคมากๆและคำตอบก็สุดจะคลาสสิคมากๆก็คือ “ หาให้มากใช้ให้น้อย “ เป็นคำตอบพื้นฐานถ้าเรามองแต่เพียงว่าอยู่อย่างการดำรงอยู่ การมีชีวิตอยุ่ แต่จะหาให้มากได้อย่างไรและใช้ให้น้อยได้อย่างไรหรือที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า “HOW TO “ ต่างหากที่ตอบได้ยากกว่า ช่วงปลายปีในปีก่อนๆเรามักจะเห็นมุขเก่าของคนเก่าๆที่มักจะมีข่าวมาเข้าหูเราทั้งทางตรงหรือทางออ้มที่เจตนามาให้เข้าหูเรา (ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าตรงแบบอ้อม หรืออ้อมแบบตรงดี ) ว่ามีบริษัทนั้นมาชวนไปอยู่ด้วย อยากออกไปทำธุรกิจเอง อยากเกษียนไปพักผ่อน ปีแรกๆฟังยังจับมุขไม่ได้ก็ทุกข์ใจกลัวว่าลูกน้องจะออกไปจริงๆเพราะเค้ามีฝีมือจริงๆ แต่ปีต่อๆมาก็จับทางถูกและเห็นเป็นเรื่องขำๆถ้าปีนี้มามุขนี้อีกลองสวนกลับไปว่า “จะออกเมื่อไหร่ละจะได้เลี้ยงส่งให้สมเกียรติ” หรือ “ขอให้ประสบความสำเร็จนะ และถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ยินดีนะ” หรือ “ ถ้าล้มเหลวก็กลับมานะที่นี้ยินดีต้อนรับเสมอ” รับรองอึ้งไปตลอดปี 2552 เลยครับเพราะลูกน้องคนนี้จะมองหน้าเราไม่ติดตลอดปีแน่นอน(เพราะมันไม่ออก) ลองหันกลับมาดูสินค้าในโกดังของเราซิครับว่ามีสินค้าตัวใดล้นสต๊อก เก่า ล้าสมัย เอามาลดแลกแจกแถมจะได้หรือไม่ อันนี้ก็เป็นความคิดพื้นฐานในการประกอบธุรกิจอยู่แล้วแต่งานนี้ท่านสั่งการอย่างเดียวไม่ได้ต้องลงมาเล่นเองด้วยในฐานะผู้บริหาร เรียกว่าลงมาล้วงลูกแบบหลงจู๊กันเลยก็ว่าได้เพราะว่าถ้าสั่งอย่างเดียวลูกน้องอาจจะไม่สามารถตอบสนองได้อย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่จากเหตุการณ์ราคาสินค้าปรับขึ้นสูงมากทำให้ผู้บริหารส่วนใหญ่สั่งสินค้า(ตุน)ไว้เพราะคิดว่าสินค้าจะขาด








ตลาดหรือปรับราคาสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งมีสองนัยยะเป็นการสั่งซื้อจากการคาดการณ์ที่บริสุทธิ์ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง หรือบางคนอาจจะสั่งซื้อโดยอาศัยเหตุการณ์มาประกอบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนอันนี้ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เรียกว่าชั่วโมงนี้ขาดทุนก็ต้องยอมละครับเพราะหากเก็บไว้ราคาสินค้าขาลงอาจจะเหมือนน้ำมันก็ได้ใครจะไปรู้ ยอมขาดทุนตอนนี้ดีกว่าของเก็บไว้อีกสิบปี หรือเน่าเสียไปโดยไร้มูลค่าคล้ายกับเล่นหุ้นละครับที่เรียกว่า”CUT LOST” มาถึงตรงนี้ลองดูนะครับว่าองค์กรของท่านมีส่วนรั่วไหลตรงไหนบ้างเพราะเป็นเวลาที่เหมาสมที่สุดเนื่องจากเรามีเวลา มีโอกาส และที่สำคัญมีความจำเป็นที่จะต้องสะสางภารกิจเพื่อ”ความอยู่รอด” ขององค์กร ทั้งเป็นการรั่วไหลจากการทุจริตหรือการรั่วไหลจากการด้อยความสามารถ หรือเลินเล่อ หรือฟุ่มเฟือยทั้งของ พนักงาน ลูกน้อง หรือแม้แต่ตัวเราเอง เราก็จะเห็นหลายๆจุดที่สามารถนำมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองค์กรได้ เมื่อเรานิ่งๆมีสติประกอบกับเหตุการณ์สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปเราจะพบสิ่งที่จะปรับปรุงและแก้ไขได้อย่างแน่นอนเหมือนที่พระท่านว่า “สติมาปัญญาเกิด” อย่างผมเองปกติจะเปลี่ยนมือถือทุกๆปีเศษ (ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไม) แต่ตอนนี้สามปีแล้วครับประหยัดไปได้สองหมื่นนี่แค่มี “สติ” ถามตัวเองว่าเปลี่ยนแล้วได้อะไร และต้องเสียอะไรไป แล้วถ้าไม่เปลี่ยนมือถือเราจะได้อะไรและเสียอะไรก็จะได้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผล นั่นเอง
ก่อนจบอยากเล่าถึง “สายัณห์” ที่เป็นตลกคณะคุณเด๋อ ดอกสะเดา ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วพอดีได้ดูรายการตีสิบคุณวิทวัสนำคุณเด๋อ คุณปู ซึ่งอุปการะและให้ “โอกาส” กับสายัณห์ดูแล้วซาบซึ้งจริงๆ คุณปูเล่าว่าสายัณห์เอาเงินมาให้ตอนไปเยี่ยมคุณเด๋อที่โรงพยาบาลบอกว่าให้เอาไปจ่ายค่าหมอที่รักษาอาจารย์(คือคุณเด๋อ) และตอนคุณปูคลอดลูกสายัณห์ก็เอาเงินมาให้บอกว่าให้เอาเงินไปซื้อนมให้น้อง และในงานศพคุณสายัณห์ได้รับพระราชทานพวงมาลาจากทั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ตลอดจนพระบรมวงศ์ษานุวงษ์ท่านอื่นๆอีก เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกที่ “สายัณห์” เด็กดาวซินโดมคนหนึ่งได้รับจากสังคม แต่พอคุณปูเล่าพฤติกรรมของสายัณห์ผมก็ไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นคนที่จิตบริสุทธิ์ ไม่มีพิษภัยกับใครที่สำคัญ “เป็นคนกตัญญู” ไม่เคยคิดร้ายกับใคร พวกเราละครับได้กตัญญูกับผู้มีคุณแล้วหรือยังไม่ว่าจะเป็นบุพการี หรือองค์กรที่เลี้ยงดูท่านมา หรือชุมชนสังคมและประเทศชาติที่ท่านเป็นสมาชิกอยู่ หรือว่ามัวแต่กอบโกยจนลืม”พระคุณ” ไปแล้ว แล้วในปีใหม่นี้เรามีดีเท่าสายัณห์หรือยัง โอ้ อนิจจัง !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...