วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

จุดขายประเทศไทย..........

ต้อนรับภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็มีแต่คนถามว่าจะทำอย่างไรดี ใครๆก็ถามว่าจะปรับตัวอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะอยู่รอด ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายซึ่งนักเรียนอนุบาลสามก็คงตอบได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้บริหารแล้วคงต้องถามต่อว่าแล้วทำอย่างไรเพื่อให้เพิ่มรายได้และลดรายจ่าย ซึ่งหากตอบแบบอนุบาลก็คงต้องบอกว่าทำงานให้มากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นซึ่งมันก็จะดูพื้นไปหน่อยสำหรับผู้บริหาร คุณตันโออิชิให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการหนึ่งที่ออกอากาศทางช่องมันนี่แชนแนลซึ่งคุณตันบอกว่ายอดขายของโออิชิไตมาสสุดท้ายก็ยังเติบโตและเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งท่านคงได้ยินมาจนเบื่อแล้วว่าให้แปรวิกฤติเป็นโอกาส แต่คำถามต่อไปคือทำอย่างไร คิดไม่ออก ที่สำคัญคิดไม่เป็นได้แต่จำคำพูดเค้ามาพูดให้โก้ๆเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราลองมองเค้าไปในสินค้าของคุณตันเราจะพบว่ามันมีจุดขายที่เด่นชัด กลุ่มลูกค้าที่เด่นชัด และที่สำคัญเค้าสามารถสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่วนใหญ่สิ่งแรกที่จะตัดคืองบโฆษณาและงบการตลาดซึ่งในอีกมุมมองหนึ่งในภาวะอย่างที่คู่แข่งหยุดนิ่งหรือล้ากำลัง เราควรที่จะรุกแต่รุกอย่างรอบคอบและใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในกรณีนี้หมายถึงว่าสินค้านั้นยังมีโอกาสในอนาคตนะครับไม่ใช่ว่าสินค้าอยู่ในช่วงขาลงและไม่เห็นโอกาสขาขี้นในระยะเวลาอันควรก็ยังดันทุรังทำตลาดอยู่
ผมยังจำได้สบู่ตรานกแล้วรุกตลาดในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540-2541 นกแก้วมีโฆษณาทางทีวี และออกนกแก้วโกลด์ ฯลฯ เรียกว่ารุกตลาดก็แล้วกันและก็ประสบความสำเร็จเสียด้วยเพราะกระแสนิยมไทยและรักชาติกำลังมาในตอนนั้นเรียกว่างานเข้าเลยถ้าเทียบกับภาษาวัยรุ่นในปัจจุบัน นั่นหมายความว่าถ้าเราสามารถหาจุดขายที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและสื่อสารอย่างตรงแถมถูกที่ถูกเวลาแล้วละก็ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมเองครับ ดูอย่างประเทศดูไบซึ่งมีแต่ทะเลทรายและน้ำมันมีประชากรเพียงล้านเศษๆถ้ามีเงินแล้วไม่รู้จักใช้รู้จักหาก็มีวันหมดครับตอนนี้ดูไบกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวและสวรรค์ของคนมีเงินที่ไปซื้อบ้านพัก รีสอร์ท ฯลฯ เพื่อการพักผ่อน ปัจจุบันดูไบมีนักท่องเที่ยวปีละ 5-6 ล้านคนและเป้าหมายในปี 2553 จะมีนักท่องเทียวถึง 15 ล้านคนทั้งๆที่เพิ่งเป็นรัฐหนึ่งในสหรัฐอาหรับอิมีเรสต์เมื่อปี 2514 แค่ 37 ปีดูไบมีนักท่องเที่ยวแล้ว 5-6 ล้าน และอีก 3 ปี จะมีถึง 15 ล้าน แถมเป็นนักท่องเที่ยวแบบระดับไอเอ็นด์ทีมีกำลังซื้อสูง ลองเทียบกับประเทศไทยดูซิครับว่าเราส่งเสริมการท่องเที่ยวมากี่ปีแล้วอายุจะ 60 ปีแล้ว เรายังรณรงค์ให้คนมาเที่ยวประเทศไทยได้แค่ 14 ล้านคนในปี 2550 ไม่รู้ว่าปี









2551 จะเป็นอย่างไรเพราะติดภาระทั้งทางเศรษฐกิจแถมพันธมิตรยังไปปิดสนามบินอีก ใครอยากรู้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปเท่าไหร่ลองถามเพื่อนๆที่ทำงานโรงแรมดูก็แล้วกัน หลายโรงแรมแถวนถนนรัชดาภิเษกปลดพนักงานไปแล้วผู้จัดการห้องอาหารต้องลงมาช่วยดูแลลูกค้า (เพราะลดพนักงานลงไป) โรงแรมโอเรียลเต็ลกรุงเทพอัตราเข้าพักต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในรอบหลายสิบปีในช่วงฤดูท่องเที่ยวนี้ (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) โรงแรมโอเรียลเต็ลดาราเทวีที่เชียงใหม่ปกติคืนละสองหมื่นกว่าไม่ค่อยยินดีต้อนรับคนไทยเท่าไหร่ แถมจองเต็มทั้งปีสำหรับช่วงนี้แล้วคนไทยเหลือแค่ 9,500 บาทสุทธิเองครับรวมอาหารเช้ารีบไปช่วยกันหน่อยนะครับผมเลยเห็นเป็นโอกาสดีเลยขอรีฮันนีมูนกับภรรยาฉลองสมรส 25 ปี กัดฟันซื้อตั๋วเครื่องบินไปเทียวเชียงใหม่และขอนอนดาราเทวีซักคืนตายไปจะได้ไปโม้ให้ยมพบาลฟังได้นะครับ
ขอย้อนกลับมาเรื่องดูไปดีกว่าว่าเค้ามีจุดขายอย่างไรซึ่งแน่นอนต้องเกิดจากผู้บริหารและทีมงานที่วางจุดขายของประเทศให้เป็น WORLD PLAYGROUND ENTERTAINMENT มีโรงแรมที่สูงที่สุดในโลกก็ตึกที่เห็นเป็นรูปคล้ายเรือใบที่คุ้นตาเรานั่นแหละครับซึ่งสร้างขึ้นบนเกาะที่ถมทะเลทุ่มทุนสร้าง และจะมีตึกสูงที่สุดในโลกซึ่งจะเปิดในปี 2552 นี้ มีดูไบแลนด์ใหญ่กว่าดีสนีย์แลนด์ที่ฟลอริดาถึงสองเท่า(ที่ฟอริด้าใหญ่ที่สุดในบรรดาดีสนี้ย์แลนด์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ ซึ่งเที่ยวให้ครบต้องใช้เวลาสามหรือสี่วัน) มีดูไบมอลล์ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกพื้นที่มากกว่า 9 ล้านตารางฟุต มีดูไบเฮลท์เซนเตอร์ที่มีเป้าหมายให้เป็นเมืองสุขภาพและปลอดภาษี (แต่เชื่อเถอะว่าหมอไม่ใช่ชาวดูไบแน่นอน) กำลังก่อสร้างศูนย์กลางการเงินและการธนาคาร หรือการทำรีสอร์ทหรือเก่าบ้านพักโดยการถมทะเลเป็นรุปปาล์มและรูปแฟนที่โลกขายให้มหาเศรษฐีและนักกีฬาดังๆ ไม่วาจะเป็นเบคแฮม ไทเกอร์วู้ด กาก้า ฯลฯ จะมีสนามแข่งฟอร์มูล่าวัน ในอาบูดาบี (ซึ่งเป็นอีกรัฐหนี่งในอาหรับอิมิเรสต์ห่างจากดูไบแค่ 5-6 กม) ซึ่งไปดูฟอร์มูล่าวันแล้วไม่แวะเที่ยวในดูไบเลยเหรอครับ แน่นอนครับโครงการต่างๆเหล่านี้ไม่เพียงแต่ต้องทุ่มทุนสร้างอย่างอลังการ์แต่ต้องมีวิสัยทัศน์และรู้จักใช้เงินและให้เงินทำงานแทนโดยการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเพราะเขาทราบดีว่าน้ำมันอีกไม่น่าเกิน 100 ปี ก็คงหมดไปจากโลกนี้แล้วถ้าไม่มีอะไรเป็นจุดขายเงินที่มีก็จะหมดไปซักวันหนึ่ง หรืออย่างบูรไนในปัจจุบันท่านลองคิดดูนะอีก 100 ปีข้างหน้าบูรไนจะอยู่ตรงไหนเมื่อน้ำมันหมดลง ลองดูอย่างนี้แล้วลองย้อนกลับมาดูประเทศไทยเรานะครับว่าจะช่วยกันได้อย่างไรทั้งๆที่เรามีจุดขายมากมาย แต่ไม่ได้มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและบูรณาการกันจนไม่รู้ว่า “จุดขายประเทศไทย” อยู่ที่ตรงไหน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...