วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ทำให้ดู”



ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็ผ่านครึ่งปีแรกของปี 2552 ไปแต่ถ้าถามว่าผ่านไปด้วยสภาพอย่างไรก็คงต้องแล้วแต่อุตสาหกรรมนั้น ได้คุยกับพรรคพวกในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบอกว่าตายสนิทศิษย์โอบามารค์เลยครับ เพราะว่าถึงขณะนี้ครึ่งปีแล้วนักท่องเที่ยวยังไม่เข้ามาเลย จริงอยู่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังไม่ถึงฤดูท่องเที่ยวที่จะมาถึงช่วงตุลาคมนี้เป็นต้นไป แต่สัญญาณมันไม่ค่อยดีเลยไม่ว่าจะเหตุการณ์ทางการเมือง หรือ การควบคุมไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่วันๆรัฐมนตรี เอาแต่เดินสายแจกผ้าปิดปากซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของรัฐมนตรีเลยจิงๆ แทบจะไม่เห็นข่าวว่ารัฐมนตรีเรียกผู้เกี่ยวข้องมาประชุมโต๊ะกลม หากลยุทธ์ซึ่งหมายถึงกระบวนการวิธีการที่จะหยุดยั้งการแพร่เชื้อเลย จนท่านชวน หลีกภัย ต้องออกแรงเรียกผู้เชียวชาญทั้งหลายมาจึงเห็นมาตรการออกมา คงต้องช่วยกันภาวนาให้หวัดมันหยุดเองมั้ง ส่วนอุตสาหกรรมส่งออกก็เป็นไปตามภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างแรงทำให้เสียความสามารถทางการแข่งขัน นี่ไม่นับว่าลูกค้าของประเทศไทยเดี้ยงกันเป็นแถวๆ โดยเฉพะตลาดหลัก คืออเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป

การบริหารไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หน่วยงานเอกชน ภาครัฐบาล หรือหน่วยงานเอ็นจีโอใดๆก็ตามผู้บริหารที่ดีแต่พูด สักแต่ว่าพูดเก่ง พูดแล้วดูดีมีระดับ แต่หาวิธีปฏิบัติไม่ได้เลยเราก็เห็นกันมามากมายทั้งในหน่วยงานของเรา หรือหน่วยงานของรัฐ พอดีได้ฟังคุณธัญญา โพธิ์วิจิตร ซึ่งหลายคนอาจจะงงว่าใครกัน แต่ถ้าบอกว่า เป็ด เชิญยิ้ม ละก็ทุกคนคงร้องอ๋อเป็นแน่ ซึ่งคุณเป็ดปัจจุบันเป็นนิสิตปริญญาเอก สาขาการจัดการกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของคุณเป็ด ได้เล่าให้ฟังตอนงานไหว้ครูของโครงการซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์จึงได้ขออนุญาตคุณเป็ดขอนำเรื่อง(ในครอบครัว) ที่เล่าในวันนั้นมาขยายความต่อ โดยสรุปว่าคุณเป็ดเองนับเป็นตลกคนแรกที่จะปริญญาโทและมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อปริญญาเอกและเมื่อจบการศึกษา(คาดว่าในปี 2554) จะเป็นตลกคนแรกของโลกก็ว่าได้ที่จบปริญญาเอก ซึ่งมีมูลเหตุเพราะว่าลูกคนเล็กเกเรไม่ยอมเรียนซึ่งตอนนั้นคุณเป็ดเองจบอนุปริญญามา ก็เลยลงเรียนรามคำแหงเพื่อเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้ลูกหันกลับมาเรียนหนังสือและจนจบปริญญาเตรีเหมือนกับคุณพ่อ แถมยังเรียนปริญญาโทเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกคนโต นี่แกมาลงเรียนปริญญาเอกสงสัยลูกทั้งสองคงต้องศึกษาต่อปริญญาเอกแน่ๆเลย นี่แหละครับตัวอย่างที่ดีๆที่อยากจะขอนำมาเป็นอุธาหรณ์ว่า การบริหารที่ดีที่สุดก็คือ ”การทำให้ดู” ซึ่งคุณเป็ดนับเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆที่ฝึกและสอนลูกด้วย “การกระทำ” นั่นเอง หรือไม่ใช่การบริหารแต่ปากแต่ด้วยการลงมือทำ พอดีเมื่อวานเติมน้ำลงในอ่างบัวที่มีแหนลอยอยู่พอเราเติมน้ำลงไปแหนก็กระจายตัวออก แล้วก็จะกลับมารวมตัวกันอีกตามธรรมชาติของมันเปรียบไปก็คล้ายกับว่าการดีแต่พูดนั่นพูดนี่แต่ไม่ลงมือปฏิบัติก็เปรียบเสมือนกับการเติมน้ำลงไปในอ่าง พอหยุดพูดทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมแต่หากต้องการให้เกิดผลแล้วต้องลงมือในการตักแหนออกจากอ่างบัวนั้นนั่นเอง
ตอนเช้าก่อนเขียบนบทความนี้ได้ฟังการบรรยายของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งท่านเป็นเจ้าของโรงเรียนสัตยาไส ตั้งอยู่ที่ลพบุรี ท่านออกรายการทางทรูวิชั่นเล่าการบริหารงานของท่านในโรงเรียนว่าการจะฝึกให้นักเรียนเป็นอย่าไร คุณครูก็ต้องเป็นอย่างนั้นก่อน ไม่ว่าจะสอนนักเรียนไม่ให้สูบบุหรี่ คุณครูก็ต้องไม่สูบเลยไม่ใช่แค่ไม่สูบในที่ทำงานหรือไม่สูบให้นักเรียนเห็นเท่านั้น การสอนให้นักเรียนนั่งสมาธิคุณครูก็ต้องนั่งสมาธิกับนักเรียน นักเรียนถูกฝึกให้มีวินัย มีสมาธิ ช่วยเหลือตัวเอง และเพื่อนนักเรียนมีจิตใจเอื้ออาทร และปัจจัยหนึ่งแห่งความสำเร็จของโรงเรียนสัตยาไสย ก็คือบุคลากรที่ร่วมกันผลักดันในการสร้างเยาวชน ที่จะสามารถเป็นกำลังของชาติได้ เห็นโรงเรียนอย่างนี้แล้วก็อยากให้มีโรงเรียนอย่างนี้ขอไม่ต้องมากแค่จังหวัดละคนก็พอครับ ซึ่ง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ได้บริหารแบบ “การทำให้ดู” หากใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมลองเข้าไปชมรายละเอียดซึ่งทางรายการ “ตาสว่าง” ได้นำเสนอได้ที่ http://hiptv.mcot.net/player/hipPlayer.php?SelectSpeed=256k&id=19146 เพราะฉะนั้นอย่าเพียงแต่พร่ำบนว่าลูกน้อง ไม่ได้เรื่อง สอนไม่รู้จักจำ ทำงานไม่ได้ตามที่เราคาดหวัง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเรายัง “ไม่ได้ทำให้ดู” ก็เป็นได้นะครับท่านผู้บริหารทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...