วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

“48 ดอกเตอร์และว่าที่ดอกเตอร์ ??? ”


เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาผมได้พานักศึกษาปริญญาเอการจัดการกีฬา ของม.เกษตรศาสตร์รวมสามรุ่นรวมทั้งคณาจารย์แล้ว 48 คน เดินทางไปร่วมงาน FORUM กับ น.ศ. ปริญญาเอก ของ SHANGHAI UNIVERSITU OF SPORT เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และนำเสนอผลงาน ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสนำเสนอเรื่อง SPORT MARKETING ด้วย การนำเสนอผลงานทางวิชาการก็เรียบร้อยดี แต่ทุกท่านที่เคยไปทัวร์จีนก็คงจะทราบว่าจะมีการพาไปซื้อของต่างๆทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นชา บัวหิมะ หยก ฯลฯ ก็เป็นไปตามสเต็ปเพราะว่ามันก็เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญบ้านเรา ที่บริษัททัวร์ท้องถิ่นจะคิดค่าบริการถูกๆแต่จะพาไปซื้อของและหวังกำไรจากตรงค่าคอมมิสชั่นแทนนั่นเอง ได้เรื่องครับเพราะกลุ่มเราเป็นนักศึกษาปริญญาเอก แน่นอนคณาจารย์ก็ปริญญาเอก ผมเองก็เฝ้าดูว่าคนขายจะมาไม้ไหน (ผมรู้มุกของคนขายแล้วเพราะไปจีนหลายครั้งแล้ว) เพื่อที่จะมากระชากเงินจากกระเป๋าของเหล่า ดร. และ ว่าที่ ดร.ทั้งหลาย ซึ่งมีคุณเป็ด เชิญยิ้ม เป็นประธาน น.ศ.รุ่น 2 ไปด้วย ได้เรื่องครับขณะอยู่บนรถไกด์ชื่อ อากุล แต่เราเรียกเธอว่า อากุง(พูดไม่ชัดงะ) หรือตั้งชื่อเต็มเธอว่า “ปฏิกุง” 555+ ก็พรรณนาว่าเงินทองถึงแม้จะเป็นเรื่องสำคัญแต่ความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ก็สำคัญประมาณว่า มีเพื่อนคนหนึ่งแม่อยู่ต่างจังหวัดป่วยกระเซาะกระแซะมานาน แล้วมีผ้าห่มที่ทำจากรังไหมที่ดีสารพัดนึกแต่กว่าจะซื้อไปให้แม่ได้ ..............ผมกระซิบบอกกับนักศึกษาบนรถว่า “เดี่ยวแม่มันต้องตายแน่นอน” ว่าแล้วอีก 5 วินาที แม่เธอก็ตายจริงๆสมกับเป็นลูกอกตัญญู เสร็จแล้วก็มีพวกเราซื้อผ้าห่มรังไหมไป 10 กว่าผืนรวมทั้ง คุณชัย นิมากร ซึ่งเป็นทั้ง น.ศ.ปริญญาเอกรุ่นที่ 3 และยังเป็นอาจารย์พิเศษด้วย ซึ่งเป็นเจ้าของ “แกรนด์สปอร์ต” รวมทั้งตัวผมเองด้วยเพราะเราอยากเป็น “ลูกชวนป๋วยปี่แปะกอ” คืออยากเป็นลูกกตัญญูนั่นเอง 5555+
ช๊อตที่สองไกด์พาเราไปร้านขายชาเมื่อก่อนผมได้ยินแต่ชาเกรด A หรือ AA แต่เที่ยวนี้มาใหม่เป็นชาเกรดธรรมดา กับ “ชาฮ่องแต้” กระป๋องละ 4 ,000 บาท ซึ่งเป็นขอดชาอ่อนสุดๆเก็บตอนตีสามยี่สิบนาที โดยหญิงสาวบริสุทธิ์แห่งยอดเขาเหลียงซาน ฯลฯ รวมทั้งให้หนอนชาเขียวกระดื๊บๆ ผ่านสามรอบก่อนเพื่อความเป็นศิริมงคล แน่นอนของแพงต้องมีการพิสูจน์ ว่าสมราคาแล้วคนขายก็เอาน้ำเปล่ามา 2 แก้ว เทน้ำยาทิงเจอร์ไอโอดีนลงไป (แบบที่ใส่แผลสดนะ) ว่าแล้วก็เอา “น้ำชา” ที่ชงจากชาธรรมดาใส่ลงไป ปรากฏว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่อีกแก้วหนึ่ง “กำใบชาฮ่องเต้” (ไม่ใช่น้ำชาที่ชงจากชาฮ่องเต้) กวนๆสักครู่หนึ่งน้ำที่มีสีของทิงเจอร์ไอโอดีนที่ออกสีน้ำตาลเข้มๆ ก็จางลงและใสในที่สุดยิ่งกว่าเล่นกลอีกครับพี่น้อง ว่าแล้วบรรดาพลพรรคนักศึกษาปริญญาเอกทั้งหลายก็ระดมซื้อกันไปบัตรเครดิตรูดกันกระจาย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมทบ ว่าที่ผู้บริหารของสโมสรราชวิถี คุณก้องศักดิ์ เลขานุการ รมต. คุณสมคิด ผอ.ใหญ่จากการกีฬาแห่งประเทศไทย รวมทั้ง คุณต้น ตระการ
ผมมีคำถามให้พิจารณา 3 ข้อ 1.ทิงเจอร์ไอโอดีน มันคือของเสียในร่างการเราหรือเปล่า หรือมันสัมพันธ์ หรือเป็นเครื่องบ่งบอกว่าร่างกายเรามีของเสียเยอะแยะไปหมดหรือเปล่า คำตอบคือ “ไม่เกี่ยวกันเลย” แต่คนขายแสดงเพื่อให้เห็นถึงความต่างและความสามารถอันเลอเลิศ(เพื่อเพิ่มมูลค่า) แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการใช้สอยเลย 2.แก้วใบแรก ใช้ “น้ำชา” ซึ่งแปลว่า มันมีความเข้มข้นต่ำใช่หรือไม่ ในขณะที่ แก้วใบทีสองที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ใช้ “ใบชาฮ่องแต้กำใส่ลงไป” แปลว่าความเข้มข้นสูงใช่หรือไม่ คำตอบคือ “ใช่” 3.ถ้าเป็นชาชนิดอื่นๆที่อาจมีคุณสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกันกับ”ชาฮ่องเต้” จะทำให้น้ำในแก้วที่สองกลับมาใสเหมือเดิมได้หรือไม่ คำตอบคือ “ได้” เพราะว่าผมได้ทดลองเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว เอาบรรดาสรรพชาที่มีในสำนักงาน ชาถุงต่างๆ ก็พบว่า ชาเขียวซองหนึ่งก็ทำให้น้ำใสได้เหมือน “ชาฮ่องเต้” ผมเลยตั้งชื่อชาเขียวนั้นว่า “ชาองค์ชายสี่” 5555+++
มาช๊อตสุดท้ายพาไปร้านขายหยก คนขายคนแรกเป็นหญิงสาวเข้ามาสักครู่ก็บอกว่า วันนี้ลูกเถ้าแก่มาด้วยพูดไทยได้ด้วยเพราะว่ามีแม่เป็นคนไทย (ผมถามว่าเถ้าแก่ชื่อรัย เค้ามะตอบ) พอลูกเถ้าแก่มาผมดูสารรูปแล้วฟันธง และคนเฟิมโดยไม่ต้องอาศัยหมอลักษ์ หมอกฤษ เลยว่า มันมั่วมาแน่นอนว่าแล้วลูกเถ้าแก่ก็ลดราคามแบบสุดๆ ทำให้เราเชื่อโดยสนิทใจว่าไม่โดนหลอกแน่ เพราะขนาดที่ว่าพนักงานหญิงถามลูกเถ้าแก่ว่าขายได้ยังไง ขาดทุนนะ แต่ดันถามเป็นภาษาไทย (ซึ่งมันควรจะถามเป็นภาษาจีน เพื่อไม่ให้เรารู้) แต่วัตถุประสงค์มันต้องการให้เรารู้จึงถามเป็นภาษาไทย ตีบทแตกกระจุยสมควรได้รับตุ๊กตาทอง ว่าแล้วพี่เป็ดเชิญยิ้มก็อัญเชิญ “ปี๋เซีย” ไปหนึ่งคู่ แค่ไม่กีหมื่นเอง 555+ ที่เหลือก็กระจายๆกันไปอุดหนุนเชื้อสายคนไทยปลอมๆ เพราะมันให้เราเป็นญาติมันตั้งแต่บอกว่ามีแม่เป็นคนไทยอยู่เชียงใหม่แล้วนั่นเอง สรุปนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอารมณ์มาก่อนเหตุผลเสมอ 5555++ท่านดอกเตอร์และว่าทีดอกเตอร์ทั้งหลาย สาธุ สาธุ คัมภีร์นักขายนี้สมควรเอาเป็นแบบอย่างจิงจิงจิงจิง

2 ความคิดเห็น:

  1. ที่พูดมาทั้งหมด คุงจ๊าม่ายล่ายซื้อน้าาาาาา เค้าซื้อแค่ดอกเก๊กซิม เ๊อ๊ย ดอกเก็กฮวยอย่างเดียว อ้อ บัวหิมะอีก 5 กล่อง แต่ไปโดงที่เกาหลีเยอะหน่อย โสมเกาหลี หมกไป เกือบแสน อ๋ายหย่าาาา

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อวันพุธ, 14 เมษายน, 2553

    อิอิ ผมบรรณสิทธิ จิตใจหนักแน่นครับ มาไม้ไหนก็ไม่สำเร็จซักร้าน ทำไงก็ใจแข็งไม่ยอมซื้อครับ เบื้องหลังการถ่ายทำคือ อาคุงบรรณสิทธิ ไม่มีเงิงซื้อนั่นเอง เนื่องจากผู้ปกครองอนุมัติวงเงินให้ติ้ดเดียวเอง 555

    ตอบลบ

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...