วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ศรีลังกาพาสุขใจ



                    
                ผมไปศรีลังกาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ได้พบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจหลายประการ  เลยอยากจะนำมาแลกเปลี่ยนกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครจำได้เมื่อก่อนนี้เราจะนึกถึงอยู่สองเรื่องถ้าพูดถึงศรีลังกา   คือกบฎพยัคทมิฬอีแลม  และ ศาสนาพุทธ    ขอนำเรื่องกบฎพยัคทมิฬอีแลมมาคุยกันก่อน  คือตอนปี 2509 ที่ผมเดินทางไปศรีลังกาครั้งแรกนั้นเป็นช่วงแรกๆที่มีการสงบศึกยุติการสู้รบในศรีลังกา  และทั้งสองฝ่ายคือรัฐและกบฎได้มาพูดคุยสันติภาพที่ภูเก็ตของเราก็หลายครั้ง    เครื่องบินจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเดินทางไปถึงที่โคลอมโบเมืองหลวงศรีลังกาประมาณเที่ยงคืน   ดังนั้นการเดินทางเข้าไปยังกลางเมืองหรือโรงแรมก็จะต้องผ่านบ้านเมืองที่เพิ่งยุติสงครามกลางเมือง  ก็จะมีด่านตรวจที่มีทหารถือปืนอยู่หลายด่าน  ประกอบกับถนนหนทางนั้นมืดเป็นส่วนใหญ่  รถลาก็ไม่มากนักทำให้รู้สึกว่าต้องตื่นอยู่ตลอดเวลาและนึกว่าเราจะปลอดภัยไปถึงโรงแรมหรือไม่   การเดินทางแค่ 30 กม.เศษจึงรู้สึกว่าน่ากลัวอยู่ไม่น้อย   
                 แต่วันนี้หลังจาก 5 ปีผ่านไปไม่มีภาพเหล่านั้นให้เห็นอีกแล้ว  ซึ่งบ่งบอกถึงความสงบที่แท้จริงแถมทางด่วนตรงจากสนามบินไฟฟ้าสว่างไสว   ใช้เวลารวมแล้วประมาณ  40 นาทีก็ถึงโรงแรม    ป้ายจราจร หรือป้ายบอกทาง  รวมทั้งสถานที่ราชการทั้งหลายก็จะมี 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ  ภาษาสิงหล และภาษาทมิฬ  เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศแม้จะใช้ภาษาคนละภาษา   ซึ่งประชากรทั้งประเทศเป็นสิงหลเป็นส่วนใหญ่เกือบ 80% ถ้าใช้แต่ภาษาสิงหลก็จะทำให้ชาวทมิฬนั้นรู้สึกถึงความเป็นชนกลุ่มน้อย  ซึ่งในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็จบลงด้วยดี   ร่วมกันพัฒนาประเทศจากที่รบพุ่งกันเองมาร่วมกันสร้างประเทศ   แตกต่างจากประเทศไทยเราจากสงบร่มเย็นมาเป็นรบพุ่งแม้ไม่เหมือนกันก็เกือบจะเหมือนหรืออาจจะเหมือนในอนาคตอันใกล้ก็ไม่รู้
            ส่วนทางด้านศาสนานั้นในสมัยก่อนพุทธศาสนาของบ้านเราได้รับอิทธิพลจากศรีลังกาเป็นอย่างมากจึงเรียกว่า  พุทธศาสนา”ลังกาวงษ์”  แต่ปัจจุบันนี้กลับกันไทยเราเสียอีกต้องไปทำนุบำระพระพุทธศาสนาทั้งในศรีลังกา และอินเดีย   ซึ่งสังเกตุได้จากจำนวนคนไทยที่ไปร่วมทำบุญก่อสร้าง  บำรุงพระศาสนาในสองประเทศ  จนชาวศรีลังกาให้ชื่อว่า  พุทธศาสนา”สยามวงษ์”   ผมเองตอนไปศรีลังกาครั้งก่อนนั้นได้มีโอกาสไปกราบพระเขี้ยงแก้วที่เมืองแคนดี้  พอเจ้าหน้าที่รู้ว่าเป็นคนไทยก็อนุญาติให้เข้าไปในโถงด้านในที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว  ในขณะที่คนท้องถิ่นนั้นต้องกราบอยู่ทางด้านนอก  นับเป็นบุญที่ได้มีโอกาสกราบพระเขี้ยวแก้วอย่างใกล้ชิด    ผมขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ได้กรุณาอำนวยความสะดวกซึ่งเขาก็บอกว่าเขาชอบคนไทย  รักคนไทย  คนไทยใจดีช่วยบำรุงพระศาสนาในศรีลังกา ฯลฯ    รวมทั้งคู่ค้าผมก็นิยมชมชอบในคนไทย  ประเทศไทย  สินค้าไทย  ก็เลยทำให้คุยกันง่ายขึ้นและขายของสะดวกขึ้นด้วย
            ไปครั้งนี้ผมเห็นมีการก่อสร้างขนาดใหญ่โดยการถมทะเลออกไป 500 เอเคอร์ ประมาณ 1250 ไร่  เรียกว่าเป็นอภิมหาโปรเจคของศรีลังกาที่เป็นการลงทุนโดยบริษัทจีน  จัดทำเป็นเมืองใหม่เลย  มีทั้งสถานบริการ  สวนสนุก  โรงแรม แหล่งท่องเที่ยว ระบบรถสาธารนะ ฯลฯ  น่าจะให้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี กว่าจะเสร็จโครงการ  แต่ถ้าเสร็จเมื่อใดก็น่าจะเป็นแหล่งธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของศรีลังกา  ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้มีนักท่องเที่ยวแค่ 1 -2 ล้านคนเศษ  เทียบไม่ได้กับประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวถึง 25 ล้านคนเศษ    แต่อย่างประมาทไปความสุขสงบ  และแหล่งอารยธรรมและพระศาสนา  อาจจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญต่อ GPP ของประเทศแน่นอน  
            อนึ่งสำหรับการลงทุนของนักลงทุนไทยนั้นแนะนำอยู่ 3 อย่าง   ท่องเที่ยว   บริการ  และสุขภาพ  เพราะทั้งสามนั้นเป็นสิ่งที่ชาวศรีลังกาชื่นชอบในสินค้าไทยและคนไทยตลอดจนการบริการเป็นทุนเดินมอยู่แล้ว   แต่คงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตข้างหน้ามากกว่าจะเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เฉพาะหน้า.
               สุดท้ายที่เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มใจคือคู่ค้าของผมทั้ง 3 ราย  ได้สอบถามถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราด้วยความห่วงใย   ทรงถามถึงพระราชกรณียกิจและกล่าวชื่นชมคนไทยที่มีในหลวงที่ทรงรักและทำเพื่อประเทศชาติ   ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ.........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...