“กนง.ปรับคาดการณ์จีดีพีโตเพิ่มจาก
3.4% เป็น 3.5% หลังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน
พร้อมปรับส่งออกโตเป็น 5% จากเดิมอยู่ที่ 2.2%” เป็นข่าวจาก ฐานเศรษฐกิจ เมื่อ 2 กรกฏาคม 2560
และเราก็ได้รับทราบข่าวคราวว่าเศรษฐกิจไทยโตขยายตัว จาก 2 เป็น 3 เป็น 3.5
เปอร์เซนต์
ดูเหมือนว่าดีขึ้นเรื่อยๆเป็นระยะๆ
แต่ก็มีคนสงสัยโดยเฉพาะชาวบ้าน แบบรากหญ้าว่า ทำไมพวกเขาไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีเรย เพราะทำมาค้าขายไม่คล่องเหมือนเมื่อก่อนนี้ แม้จะได้ยินว่า ส่งออกเติบโต
การลงทุนภาครัฐอัดฉีดงบประมาณ
ฯลฯ
แล้วเศรษฐกิจไทยโตจิงอะป่าว........
เสาร์อาทิตย์ไปเดินเซ็นทรัล
ปรากฏว่าไม่คึกคักเท่าที่ควร
ลองไปวันธรรมดาดูซิครับเงียบจนพนักงานนั่งตบยุงกันเรย ซึ่งสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผย
ดัชนีอุตสาหกรรมค้าปลีกไตรมาสแรกปี 60 โต 3.02% แต่ย้ำต้องเฝ้าระวังต่อเพราะการจับจ่ายยังไม่แจ่มใส ดัชนีค้าปลีกครึ่งปีแรกอาจต่ำกว่า
3%
จากเมเนเจอร์ออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2560
............อันนี้ก็ต้องขอบอกว่าโตจริง ++++
อ้าวแล้วไหงชาวบ้านร้านตลาดถึงได้บ่นกันเป็นหมีกินผึ้งละครับ ซึ่งจะขออธิบายเป็นภาษาบ้านๆ นะครับ
ว่าองค์ประกอบของจีดีพี หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หมายถึง มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ถูกผลิตในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งๆ
โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด ซึ่งผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ถึงมาตรฐานการครองชีพของประชากรในประเทศนั้นๆ
อย่างไรก็ตาม จีดีพี เป็นดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ แต่ไม่สามารถชี้วัดคุณภาพชีวิตที่แท้จริงได้
มันขึ้นอยู่กับว่าเครื่องยนต์แต่ละเครื่องนั้นวิ่งอย่างสมดุลย์หรือไม่นั่นเอง
ซึ่งเครื่องยนต์ทั้งสี่นั้นเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
GDP = รายจ่ายเพื่อบริโภค +
รายจ่ายเพื่อการลงทุน + รายจ่ายของรัฐบาล + รายจ่ายสุทธิของต่างประเทศที่ซื้อสินค้าผลิตในประเทศ
หรือ GDP = Consumption +
Investment + Government spending + (exports – imports)
ทีนี้เมื่อดูเครื่องยนต์ทั้งสี่แล้ว
จะเห็นได้ว่ามีเครื่องยนต์สองตัวที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ
การใช้จ่ายของรัฐบาล จากการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างที่นับว่าคืบหน้าพอสมควรทีเดียว แม้ควรจะไปได้มากกว่านี้แต่ก็ติดขัดที่ ข้าราชการไม่กล้าตัดสินใจอันนี้ไม่รู้ว่า “ลุงตู่”
ทราบหรือไม่เพราะเห็นบ่นว่าเหนื่อยๆๆ
ครม.มีมติอะไรมากมาย
แต่ไหงงบมันไปค้างท่อต่างๆอยู่มากไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้ แต่ไม่กล้าใช้มากกว่านะครับลุงอะไรไม่ชัวร์ไม่ตัดสินใจกลัวติดคุกแบบไม่ได้ตั้งใจนะเอง
ตัวบ่งชี้คือ “นับถึง มิถุนายน 2560 เป้าหมายการเบิกจ่าย 73 เปอเซนต์
สามารถเบิกจ่ายได้เพียง 60 เปอร์เซนต์ “
ข้อมูลจากฐานเศรษฐกิจ 1 กันยายน 2560
แต่ก็ยังดีที่เครื่องยนต์ตัวนี้คืองบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐ สามารถมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้พอสมควร
เครื่องยนต์ตัวที่สองคือ การส่งออก-การนำเข้า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่สดใสมากนักแต่
เราก็สามารถส่งออกและเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ “ พาณิชย์เผยยอดส่งออก พ.ค.60 โต 13.2% สูงสุดในรอบ 52 เดือน
ส่งผลการส่งออก 5 เดือน ขยายตัว 7.2% สูงสุดในรอบ
6 ปี “ ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ 11 กรกฏาคม 2560 แต่....แต่...... ดุลการค้าในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
ซึ่งมีมูลค่า 6,971 ล้านเหรียญสหรัฐลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ไทยเคยได้ดุลถึง
12,618.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหายไป 5,647.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลมาจากการนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
โดยราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 47 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
นั่นเอง เรียกว่าขายดีขึ้นแต่กำไรลดลงนั่นเองแต่ก็ยังดีมีกำไรนะครับ
ส่วนเครื่องยนต์อีกสองตัวนั้นนับว่าน่าเป็นห่วง เพราะแม้สถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้นเป็นลำดับก็ตาม
แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะทำให้เครื่องยนต์อีกสองเครื่องนั้นขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การลงทุนภาคเอกชน หรือ รายจ่ายเพื่อการลงทุน
แม้ส่งออกจะเพิ่มขึ้นก็ตามแต่ว่าก็ยังไม่ถึงกับว่าทำให้กำลังผลิตถึงเกณฑ์ที่จะต้องลงทุนเพื่ม หรือ
หากอธิบายอีกแบบหนึ่งก็คือ สมมุติว่าโรงงานทั้งหลายจากเดิมที่เคยผลิตได้
80 และหากผลิตถึง 90 เมื่อใดก็ต้องวางแผนเพิ่มกำลังผลิตโดยการเพิ่มโรงงาน เพิ่มเครื่องจัก หรือปรับปรุงกระบวนการเทคโนโลยี่ ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนนั่นเอง แต่จากปัญหาในรอบสามสี่ปีที่ผ่านมาโรงงานผลิตแค่
50-60 ปัจจุบันขายดีขึ้นผลิต 70 ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังผลิต หรือลงทุนเพิ่มเติมนั้นเอง
ส่วนการใช้จ่ายของประชาชนนั้น ก็มีผลพวงมาจากสามสี่ประการ
อันดับแรกที่เห็นได้ชัดก็คือราคาผลผลิตทางการเกษตร ตกต่ำทุกตัวไม่ว่าจะเป็น ข้าว
ยาง มัน สัปประด ลำใย ฯลฯ
แล้วเกษตรกรจะมีกำลังซื้อมาจับจ่ายใช้สอยได้อย่างไร
นอกจากภาคเกษตรกรแล้วลองมาดูภาคกรรมกรบ้าง
เมื่อโรงงานผลิตน้อยก็ย่อมลดโอทีลง
เดิมทำสามกะก็เหลือสองกะ
การปรับเงินเดือนก็ไม่ขึ้น หรือขึ้นเล็กน้อย
โบนัสงดหรือให้โบนัสเล็กน้อยเพราะผลประกอบการไม่ดีนั่นเอง แล้วกำลังซื้อพวกนี้ก็จะไปมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยในภาคค้าปลีก ตลาดนัด
หาบเร่แผงลอย สตรีทฟุ้ด กระทบกันเป็นลูกโซ่นั่นเอง ........
ดังนั้นให้สรุปว่า “เศรษฐกิจโต
โม้อะป่าว” ขอบอกว่า “ไม้ได้โม้
(เสียงสูง แบบสมรักษ์) “ แต่ว่ามันโตแบบโตกระจุก จนกระจาย
โตแต่ฐานข้างบนละโตจากการใช้จ่ายภาครัฐนั่นเอง......ลุงตู่ ทราบแล้ว เปลี่ยนด้วยครับท่าน.......