เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี
2560-2561 สองปีนี้คงไม่สามารถเติบโตได้ขนาดนี้
หากขาดซึ่งธุรกิจท่องเที่ยวหรือหากนักท่องเที่ยวลดน้อยถอยลงแล้วก็เชื่อได้ว่า
คงกระทบกับหลายๆธุรกิจอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นบันเทิง โรงแรม
ของที่ระลึก (ค้าปลีก) ซึ่งในปี
2560 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ
และไทยเที่ยวไทย สามารถสร้างรายได้ถึง
2.76 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20 %
ของ GDP คือเป็นหนึ่งในห้า ของ GDP
ซึ่งอันตรายมาก
เพราะหากอุตสาหกรรมนี้มีปัญหาขึ้นมาก็จะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม ท่านยังจำได้หรือไม่ครับสามสิบปีที่แล้วประเทศไทยมุ่งส่งออกๆๆๆ
พอส่งออกเดี้ยงไทยก็เดี้ยงด้วยจนเป็นไข้ไปหลายปี
และหากแยกเป็นส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าจำนวนไว้ที่นักท่องเที่ยว
35 ล้านคน ซึ่งปี2561นี้ก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างมีนัยะสำคัญ คือจำนวนนักท่องเที่ยวเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม เพิ่มจาก 23.5 ล้านคน เป็น 25.8 ล้านคนในปี
2561 เพิ่มถึง 9.94 % โดยนักท่องเที่ยวจีน เพิ่มจาก 6.6 เป็น 7.7
ล้านคน เพิ่มถึง 16.5%
ดูแล้วคงทำได้ตามเป้าที่ 35
ล้านคนอย่างแน่นอน โดยมีเป้าหมายด้านรายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
2.1 ล้านล้านบาท รวมไทยเที่ยวไทยอีก 1.0
ล้านล้านบาท รวมเป็น 3.1 ล้านล้านบาท
แต่ต้นเดือนตุลาคมนี้มีข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งซึ่งคนไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญเสียเท่าใด คือข่าวว่า”โกลเด้นวีค” คือช่วงวันชาติจีน 1-7
ตุลาคมของทุกปีจะเป็นวันหยุดยาวในประเทศจีนคล้ายสงกรานต์บ้านเรา ซึ่งคนไม่มีสตางค์ก็เที่ยวในประเทศ แต่คนมีสตางค์ก็ท่องเที่ยวต่างประเทศเหมือนบ้านเราเปี๊ยบเรย
ซึ่งปี 2561 คนจีนเดินทางท่องเที่ยวช่วงนี้ถึง 700 ล้านคน
(ครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ) ทุกปีประเทศไทยจะครองสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวมากที่สุด แต่ปรากฏว่าในปี 2561 นี้ (เฉพาะช่วง
โกลเด้นวีคนี้)
นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่าประเทศไทย หลายคนอ่านผ่านๆคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรสำคัญ
แต่สำหรับผมแล้วมันเหมืนเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งหรือไม่ ???
เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่มากระทบกับนักท่องเที่ยวจีน ไม่ว่าจะเป็นเรือฟีนิกซ์ล่มเมื่อเดือน กรกฏาคม
2561 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตถึง 33 คน แถมท่านรองนายกประวิตร วงษ์สุวรรณยังไปให้สัมภาษณ์ว่า “"คนจีนเป็นเป็นคนนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา
เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวเขา เขาทำของเขาเอง เขาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เราจะให้ไปเรียกความเชื่อมั่นได้อย่างไร"
แม้เป็นเรื่องจริงก็สมควรพูดหรือไม่ทำให้งานงอกต้องออกมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่
เหตุการณ์ต่อมาพนักงานรักษาความปลอดภัยตบนักท่องเที่ยวจีน
เข้าใจได้ว่านักท่องเที่ยวคงทำอะไรผิดพลาดแต่การกระทำเช่นนั้นสมควรหรือไม่ ??
ล่าสุดเมื่อเช้านี้ (11
ตุลาคม 2561) มีข่าวว่านักท่องเที่ยวจีน
(อีกแล้วครับท่าน) ถูกปรับทิ้งขยะในที่สาธารณะถึง 2.000บาท แต่ไกด์แก้ใบเสร็จเป็น 3,000 บาท
เอ......ว่าแต่ว่าแค่ทิ้งขยะถึงแม้ว่ากฎหมายเขียนไว้ให้ปรับได้สูงถึง 2,000 บาท เราปรับ 500
ก็ได้มิใช่หรือ ??
คำถามคือมันมากไปหรือไม่
และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมทั่วถึงหรือไม่อย่างไร แถมไกด์ทั้งไกด์ไทยไกด์จีนยังไปแก้ใบเสร็จซ้ำเติมความรู้สึกนักท่องเที่ยวจีนจริงๆ
เหมือนเป็นกรรมซัดวิบัติของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจริงๆ
ก่อนหน้านั้นนานแล้วหลายท่านคงได้เห็นคลิปที่น้องผู้หญิงสวมพวงมาลัยให้นักท่องเที่ยวจีนยิ้มหวาน
พอนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปก็สแยะปากแบบประมาณว่า ตรู.....เบื่อ...เซ็งโว้ย....หรือการประนามนักท่องเที่ยวจีนที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทางโลกออนไลน์ซึ่งเดี่ยวนี้ด้วยเทคโนโลยี่มันแปลเป็นภาษาจีนได้ แถมนักท่องเที่ยวอินเดียถูกลูกหลงของการประทะกันของสองแก๊งค์ที่ย่านประตูน้ำ ดูหน้าญาติที่รับมอบเงิน 1
ล้านบาทจากตำรวจท่องเที่ยวแล้วคงได้คำตอบว่าเงินไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของญาติ เพื่อน
และครอบครัวของนักท่องเที่ยว และด้วยพลวัตรของเทคโนโลยี่ทางสังคมทำให้เรื่องเหล่านี้กระจายไปอย่างรวดเร็ว
และอยู่ยงคงกระพันในยูทูป
ในโลกออนไลน์วันดีคืนดีมันก็กลับมาหลอกหลอนอยู่ร่ำไป
ปีนี้และปีหน้าคงเป็นปีที่จะทดสอบอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้เป็นอย่างดี เพราะต้องเผชิญความท้าทายหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของประเทศต่างๆที่พยายามดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ญี่ปุ่น นีกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าให้คนจีนฟรีวีซ่าแบบคนไทยแล้วอะไรจะเกิดขึ้น
เวีดยนามที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวพัฒนาอย่างรวดเร็ว อินโดนีเซียที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ซึ่งมีแหล่งท่องเทียวที่หลากหลายรอการพัฒนา เพราะเป็นเกาะแก่งนับพันเกาะ ความแตกต่างกันของชนเผ่า วัฒนธรรมและ
ความหลากหลายทางชีวภาพให้คอยค้นหาและเยี่ยมเยือน
นอกจากนี้แล้วยังมีปัจจัยอื่นๆอีกไม่ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
หากกระทบยาวนานคงทำให้เศรษฐกิจจีนมีผลกระทบ ซึ่งก็จะไปกระทบกับการสร้างงานและรายได้ของคนจีน
แล้วก็จะมากระทบกับการท่องเที่ยวในที่สุดได้
รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินคราต่างประเทศเพราะหากค่าเงินจีนแข็งค่าขึ้นก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวสูงขึ้นจนมีผลกระทบได้อีกเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตา
มสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันทุกด้านไม่ว่าจะเป็น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาด้านการบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี้ยังคงมีมนต์ขลังต่อไป