วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

ศึกแดงเดือดแต่ไม่เลือดพล่าน


                   สำหรับคนกีฬาแล้วต้องมีทีมรักในดวงใจ   ที่คอยเชียร์ คอยติดตาม และคอยชื่นชมกับความสำเร็จ  และส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่คงจะต้องมีทีมรักในพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ  ซึ่งเป็นลีกฟุตบอลในตำนาน   ก่อตั้งเมื่อปี 2535 แม้จะอายุลีกไม่นานมากนักเพราะพัฒนามาจากลีกดิวิชั่น 1 ซึ่ง ก่อตั้งเมื่อปี 2431 อายุเกินร้อยปี   นับเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก  และทีมที่ได้แชมป์มากที่สุดเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งได้แชมป์ถึง 13 ครั้ง เชลซี 5 ครั้ง อาร์เซนอลกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ทีมละ 3 ครั้ง แถมแบล็คเบิร์นโรเวอร์กับ เลสเตอร์ซิตี้ ทีมละ 1 ครั้ง   ยกเว้นทีมดังในดวงใจของแฟนชาวไทยอีกทีมที่ยังไม่ได้มีโอกาสสัมผัสแชมป์นี้เลย  คือ “ลิเวอร์พูล”  แต่ในฤดูกาลนี้โอกาสเป็นของลิเวอร์พูลซึ่งยังคงครองอันดับหนึ่ง  แม้แต้มจะทิ้งห่างทีมรองแมนซิตี้แค่ 1 แต้มและเหลือการแข่งขันอีก 11 นัดเท่านั้น  ทำให้แฟนหงษ์ทั้งหลายเฝ้าลุ้นอยู่ทั้งทางหน้าจอทีวีแม้จะดึกดื่นรุ่งสางก็ตื่นขึ้นมาเชียร์  ผมเองแม้ไม่ได้เชียร์ทีมใดเป็นพิเศษยังแอบลุ้นอยู่ในใจเหมือนกันอยากให้หงษ์ได้สัมผัสแชมป์นี้บ้างให้สมกับเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษและของโลก
                และแล้วความฝันในการที่จะได้ไปดูศึกแดงเดือดสักครั้งก็สำเร็จลงในนัดที่ 27 ของทั้งแมนยูและลิเวอร์พูลเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา แม้เกมส์จะไม่สนุกเพราะต่างระวังตังกันเรียกว่าเพลย์เซฟเป็นหลัก  ไม่มีประตูได้เสียเกิดขึ้นไม่มีโอกาสเห็นผู้ชมหลายหมื่นคนกระโดดและส่งเสียงแสดงความยินดีทีมรักตอนได้ประตู  เพราะว่าผลออกมาเสมอกัน 0:0 ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลยังคงรักษาอันดับหนึ่งได้ต่อไปอีกและเหลือการแข่งขันอีก11 แมทช์ก็จะได้คำตอบว่า  “ลิเวอร์พูล” จะได้แชมป์พรีเมียลีกครั้งแกได้หรือไม่  แต่การได้มีโอกาสสัมผัสการจัดการแข่งขันลีกในระดับโลกนั้นเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง  สำหรับสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ เป็นอันดับ 2 ของอังกฤษรองจากสนามเวมบลีย์ ด้วยความจุกว่า 76,000 ที่นั่ง และใหญ่เป็นอันดับ 11 ของยุโรป นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 2 สนามของอังกฤษที่ยูฟ่ารับรองเป็นสนามระดับ 5 ดาว  ในนัดที่ผมได้ไปชมนั้นผู้ชมประมาณ 75.000 คน (ข้อมูลจาก จนท.ที่พาชมสนามในวันรุ่งขึ้น)  แต่ปรากฏว่าระบบการบริหารจัดการของสโมสรนั้นดีมากๆเช่น การจราจรไม่ติดขัดจนมากเกินไป  ระบบการจัดการให้ผู้ชมเข้าและออกสนาม 75,000 คน นั้นไหลลื่นได้อย่างดียิ่งซึ่งตอนเข้าไปในสนามนั้นมีเวลาเหลือประมาณ 1.5 ชม  ไม่เห็นมีกองเชียร์ลิเวอร์พูลเลยในสนามแต่ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆอยู่ด้านนอกสนาม  และพอเหลือเวลาอีกเล็กน้อยอัฒจันท์ฝั่งทีมเย้าก็เต็มพรึบ แถมตลอดระยะเวลา 90 นาทีเต็มนั้นกองเชียร์ไม่มีใครนั่งดู  ทุกคนยืนดูและร้องเพลงปลุกใจอยู่เกือบตลอดเวลาเพราะบังเอิญนั่งใกล้กองเชียร์ทีมเยือนห่างไปแค่  5 แถวเท่านั้นเองจึงได้ฟังเพลงลิเวอร์พูลกรอกหูจนชินและอินกับบรรยากาศไปด้วย  ซึ่งคงกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าฟุตบอลลีกมันอยู่ในสายเลือด หรือเป็นวัฒนธรรมของคนอังกฤษขนาดที่ว่าไกด์แจ้งให้เราทราบว่าห้ามใส่เสื้อของลิเวอร์พูล หรือมีสิ่งของที่มีตราลิเวอร์พูลเข้าไปนั่งในสนามเพราะว่าเรานั่งอยู่ในกลุ่มแฟนผี  ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการทะเลาวิวาทหรือมีปัญหาได้  สำหรับฟุตบอลอังกฤษแล้วแม้ทีมจะแพ้หรือจะตกชั้นคนดูก็ยังเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น  ขนาดที่ว่าในสนามของแมนยูนั้นมีป้ายหนึ่งเขียนขนาดที่ว่าแมนยูคือศาสนาประมาณนั้นเลย  ส่วนระบบการรักษาความปลอดภัยนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รปภ.ในชุดสีเหลืองเขียวสะท้อนแสงเห็นแต่ไกลกระจายกันอย่างมืออาชีพ  แถมจะมีจนท.อยู่ 2 แถวตามความสูงของสนามประกอบซ้ายขวาของทีมเยือนอีกด้วยเพราะที่นั่นเลือดทีมรักมันแรงตอนฟุตบอลจบกำลังเดินออกก็มีการกระทบกระทั้งกันเล็กน้อยสำหรับแฟนทั้งสองทีม  จนผมต้องเลี่ยงไปออกอีกประตูหนึ่งไม่อยากนอนโรงพยาบาลในอังกฤษฟรีครับ    
นอกจากนี้แล้วทางแมนยูได้จัดที่นั่งประมาณสามสี่ล้อกตอนแรกก็งงๆ ว่าทำไม่ไม่มีเก้าอีนั่งคือเป็นแถวโล่งเพราะเขากันที่นั่งไว้ให้คนที่ต้องใช้วีลแชร์ได้มาสัมผัสกับเกมส์การแข่งขันซึ่งก็เต็มอีกเหมือนกันประมาณ 100 ที่นั่งได้  ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเปิดโฮกาสให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในวัฒนธรรมการดูฟุตอบอลอีกด้วย 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...