สำหรับคนกีฬาแล้วต้องมีทีมรักในดวงใจ ที่คอยเชียร์ คอยติดตาม
และคอยชื่นชมกับความสำเร็จ
และส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่คงจะต้องมีทีมรักในพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นลีกฟุตบอลในตำนาน ก่อตั้งเมื่อปี 2535
แม้จะอายุลีกไม่นานมากนักเพราะพัฒนามาจากลีกดิวิชั่น 1 ซึ่ง ก่อตั้งเมื่อปี 2431
อายุเกินร้อยปี
นับเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก
และทีมที่ได้แชมป์มากที่สุดเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ซึ่งได้แชมป์ถึง 13 ครั้ง เชลซี 5 ครั้ง อาร์เซนอลกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ทีมละ 3
ครั้ง แถมแบล็คเบิร์นโรเวอร์กับ เลสเตอร์ซิตี้ ทีมละ 1 ครั้ง
ยกเว้นทีมดังในดวงใจของแฟนชาวไทยอีกทีมที่ยังไม่ได้มีโอกาสสัมผัสแชมป์นี้เลย คือ “ลิเวอร์พูล”
แต่ในฤดูกาลนี้โอกาสเป็นของลิเวอร์พูลซึ่งยังคงครองอันดับหนึ่ง แม้แต้มจะทิ้งห่างทีมรองแมนซิตี้แค่ 1 แต้มและเหลือการแข่งขันอีก
11 นัดเท่านั้น
ทำให้แฟนหงษ์ทั้งหลายเฝ้าลุ้นอยู่ทั้งทางหน้าจอทีวีแม้จะดึกดื่นรุ่งสางก็ตื่นขึ้นมาเชียร์
ผมเองแม้ไม่ได้เชียร์ทีมใดเป็นพิเศษยังแอบลุ้นอยู่ในใจเหมือนกันอยากให้หงษ์ได้สัมผัสแชมป์นี้บ้างให้สมกับเป็นทีมชั้นนำของอังกฤษและของโลก
และแล้วความฝันในการที่จะได้ไปดูศึกแดงเดือดสักครั้งก็สำเร็จลงในนัดที่
27 ของทั้งแมนยูและลิเวอร์พูลเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา แม้เกมส์จะไม่สนุกเพราะต่างระวังตังกันเรียกว่าเพลย์เซฟเป็นหลัก
ไม่มีประตูได้เสียเกิดขึ้นไม่มีโอกาสเห็นผู้ชมหลายหมื่นคนกระโดดและส่งเสียงแสดงความยินดีทีมรักตอนได้ประตู เพราะว่าผลออกมาเสมอกัน 0:0 ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลยังคงรักษาอันดับหนึ่งได้ต่อไปอีกและเหลือการแข่งขันอีก11
แมทช์ก็จะได้คำตอบว่า “ลิเวอร์พูล”
จะได้แชมป์พรีเมียลีกครั้งแกได้หรือไม่ แต่การได้มีโอกาสสัมผัสการจัดการแข่งขันลีกในระดับโลกนั้นเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง สำหรับสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่
เป็นอันดับ 2 ของอังกฤษรองจากสนามเวมบลีย์ ด้วยความจุกว่า
76,000 ที่นั่ง และใหญ่เป็นอันดับ 11 ของยุโรป
นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 2 สนามของอังกฤษที่ยูฟ่ารับรองเป็นสนามระดับ
5 ดาว ในนัดที่ผมได้ไปชมนั้นผู้ชมประมาณ 75.000 คน (ข้อมูลจาก จนท.ที่พาชมสนามในวันรุ่งขึ้น) แต่ปรากฏว่าระบบการบริหารจัดการของสโมสรนั้นดีมากๆเช่น
การจราจรไม่ติดขัดจนมากเกินไป
ระบบการจัดการให้ผู้ชมเข้าและออกสนาม 75,000 คน
นั้นไหลลื่นได้อย่างดียิ่งซึ่งตอนเข้าไปในสนามนั้นมีเวลาเหลือประมาณ 1.5 ชม ไม่เห็นมีกองเชียร์ลิเวอร์พูลเลยในสนามแต่ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆอยู่ด้านนอกสนาม
และพอเหลือเวลาอีกเล็กน้อยอัฒจันท์ฝั่งทีมเย้าก็เต็มพรึบ แถมตลอดระยะเวลา
90 นาทีเต็มนั้นกองเชียร์ไม่มีใครนั่งดู
ทุกคนยืนดูและร้องเพลงปลุกใจอยู่เกือบตลอดเวลาเพราะบังเอิญนั่งใกล้กองเชียร์ทีมเยือนห่างไปแค่ 5 แถวเท่านั้นเองจึงได้ฟังเพลงลิเวอร์พูลกรอกหูจนชินและอินกับบรรยากาศไปด้วย
ซึ่งคงกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าฟุตบอลลีกมันอยู่ในสายเลือด
หรือเป็นวัฒนธรรมของคนอังกฤษขนาดที่ว่าไกด์แจ้งให้เราทราบว่าห้ามใส่เสื้อของลิเวอร์พูล
หรือมีสิ่งของที่มีตราลิเวอร์พูลเข้าไปนั่งในสนามเพราะว่าเรานั่งอยู่ในกลุ่มแฟนผี
ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการทะเลาวิวาทหรือมีปัญหาได้
สำหรับฟุตบอลอังกฤษแล้วแม้ทีมจะแพ้หรือจะตกชั้นคนดูก็ยังเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น
ขนาดที่ว่าในสนามของแมนยูนั้นมีป้ายหนึ่งเขียนขนาดที่ว่าแมนยูคือศาสนาประมาณนั้นเลย ส่วนระบบการรักษาความปลอดภัยนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รปภ.ในชุดสีเหลืองเขียวสะท้อนแสงเห็นแต่ไกลกระจายกันอย่างมืออาชีพ แถมจะมีจนท.อยู่ 2 แถวตามความสูงของสนามประกอบซ้ายขวาของทีมเยือนอีกด้วยเพราะที่นั่นเลือดทีมรักมันแรงตอนฟุตบอลจบกำลังเดินออกก็มีการกระทบกระทั้งกันเล็กน้อยสำหรับแฟนทั้งสองทีม
จนผมต้องเลี่ยงไปออกอีกประตูหนึ่งไม่อยากนอนโรงพยาบาลในอังกฤษฟรีครับ
นอกจากนี้แล้วทางแมนยูได้จัดที่นั่งประมาณสามสี่ล้อกตอนแรกก็งงๆ
ว่าทำไม่ไม่มีเก้าอีนั่งคือเป็นแถวโล่งเพราะเขากันที่นั่งไว้ให้คนที่ต้องใช้วีลแชร์ได้มาสัมผัสกับเกมส์การแข่งขันซึ่งก็เต็มอีกเหมือนกันประมาณ
100 ที่นั่งได้
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเปิดโฮกาสให้คนพิการได้มีส่วนร่วมในวัฒนธรรมการดูฟุตอบอลอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น