วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เสือตัวที่เท่าไหร่....ใครรู้บ้าง ??






             ตอนสมัยผมยังละอ่อนอยู่ก็คือว่าประมาณ 20-30  กว่าปีที่แล้วช่วงปี 1990   มีการกล่าวขานกันว่าประเทศไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย  โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ “มาเลเซีย”   ส่วนเสือ 4 ตัวแรกของเอเชีย ( Four Asian Tigers) หรือมังกรเอเชีย   ซึ่งเป็นการยกประเทศ 4 ประเทศที่มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง  ซึ่งหมายถึโตมากกว่า 7 % ต่อปีช่วงระหว่างปี 2503-2533  ได้แก่  ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน  ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่า  ไทย หรือ มาเลเซียจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย     แต่แล้วในปี 2540 ก็เกิดวิกฤติและหายนะทางเศรษฐกิจที่เราเรียกกันว่าวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง   เพราะจุดเริ่มต้นของวิกฤติเริ่มที่ประเทศไทยและส่งผลให้ประเทศในเอเชียเกิดวิกฤติตามมา  มากบ้างน้อยบางตามแต่พื้นฐานของแต่ละประเทศ  
                ความพยายามของประเทศไทยซึ่งนับว่ามีความได้เปรียบทั้งทางภูมิศาสตร์  และ แหล่งทรัพยากรทั้งหลายดูเหมือนว่าเราจะมีโอกาสมากกว่ามาเลเซีย แต่แล้วความฝันของประเทศไทยก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความคิดและหน้าสื่อต่างๆ   อันเป็นผลมาจากหลายๆปัจจัยแม้ว่าช่วงระหว่างปี 2528-2538 เศรษฐกิจของไทยมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 10 ต่อปีจากนโยบายโหมลงทุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก  แต่จาก 10 ปีย้อนหลังไป คือระหว่าง 2551-2560  อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเพิ่มจาก 7.2 ล้านล้านบาท  เป็น 10.2 ล้านล้านบาท  คือเพิ่มเฉลี่ยแค่  3.24 %  เท่านั้น  ซึ่งนับว่าต่ำมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 
                ในขณะที่ชาติอื่นๆในอาเซียนเติบโต 5 % ขึ้นไปทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามซึ่งคาดการณ์ว่าจะเติบโต ไม่น้อยกว่า 7%   ซึ่งเวียดนามเพิ่มพ้นจากสงครามเวียดนามในปี  2518   แค่ 44 ปี แต่เวียดนามสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างน่าทึ่ง  และเปลี่ยนจากคู่ค้าของไทยกลายเป็น “คู่แข่ง”  ของไทยในปัจจุบัน  อันมีสาเหตุมาจากมีสินค้าที่คล้ายๆกันอยู่มาก  ไม่ว่าจะเป็น ข้าว  สิ่งทอ  ส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก รองเท้า เป็นต้น  
                นอกจากนี้แล้วเวียดนามยังมีการเมืองที่มั่นคงซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากๆอันดับต้นๆ  เพราะสามารถนำนโยบายมาปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง  แถมค่าแรงงานในเวียดนามนั้นประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศที่ที่ 150-170 บาท / วันเท่านั้น  ทำให้มีการลงทุนจากต่างประเทศที่เรียกว่า FDI  มากกว่าประเทศไทยถึง 1 เท่าตัวในสองสามปีที่ผ่านมา  ก่อให้เกิดการจ้างงานทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่ประเทศไทยนั้นติดกับดักทางการเมืองมาตั้งแต่  2549 นับแต่การปฏิวัติในครั้งนั้นก็ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองตามมานับเป็นเวลา 13 ปี แถมแนวโน้มก็จะยืดเยื้อเป็นชนักติดหลังคนไทยไปอีกนานเท่านั้น 
                อีกประการหนึ่งที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปจำนวนประชากร  และ อัตราการเกิดของประชากรไทยนั้นเกิดน้อยลงไปจากเดิม ปีละ 1 ล้านเศษ  เหลือ 6-7 แสนคนต่อปี ทำให้กำลังภาคการผลิตลดลงไป  ไม่นับว่าคนไทยชอบสบายมีคนจน 14.5 ล้านคน(รวมคนแก่ /ชรา)  ซึ่งคนหนุ่มสาวไม่ทำงานหรือเป็นการว่างงานแบบแอบแฝง  ในขณะที่แรงงานทั้งหลายในการก่อสร้าง  โรงงาน  และ การประมง  เป็นชาว พม่า เขมร ลาว ซึ่งนับเฉพาะที่ขึ้นทะเบียน  2.8  ล้านคน ถ้ารวมพวกผิดกฎหมายคงไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน   แถมสังคมคนชราอย่างสมบูรณ์เข้ามาเยือนประเทศไทยแล้วครับเพราะในปี 2561 ที่ผ่านมามีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 20 % แล้วครับ
                ส่วนประเด็นสุดท้ายคือระบบการศึกษาของไทยที่  ส่งเสริมและมีวัฒนธรรมในการศึกษาระดับปริญญาเพราะเป็นหน้าตาของครอบครัว  และการวางแผนการผลิตซึ่งไม่มีการวางแผนโดยปล่อยให้เป็นอิสระของมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาผลิตแต่บัณฑิตทางด้านสังคมศาสตร์มา  ทำให้ต้องทำงานต่ำกว่าคุณวุฒินับเป็นการสูญปล่าวทางการศึกษาอย่างยิ่ง  ในขณะที่ประเทศพัฒนาทั้งหลายส่งเสริมการศึกษาทางด้านวิจัย  วิทยาศาสตร์  และ คณิตศาสตร์  อันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศได้มากกว่า  มีข่าวเล็กๆว่ามีเด็กเวียดนามประสบความสำเร็จใน “สตาร์ทอัพ”  โดยประดิษฐ์แอพพลิเคชั่นการชำระเงินด้วยการสแกนใบหน้า  FACE PAYMENT  ได้รับเงินทุนสนับสนุนเป็นจำนวนมากทำให้การขยายตลาดเข้าไปในหลายประเทศทั้งจีน  และกำลังจะเปิดกิจการนี้ในประเทศไทยอีกด้วย
                เสือตัวที่  5   หรือ เสือตัวที่ 6  เสือตัวที่  7   ก็มิอาจเป็นได้แล้วในตอนนี้  คงเป็นได้แค่  “เสือป่วย (เรือรั้ง) แห่งเอเชีย”  เพราะดูแนวโน้มแล้วในชีวิตผมที่เหลืออยู่ซึ่งไม่น่าจะเกิน 20 ปีจากนี้ไปยังไม่เห็นความหวังว่าจะกลับมารุ่งเรืองได้ดังในอดีต  แต่  “ชีวิตต้องก้าวเดิน”  ดังนั้น KEEP WALKING   ครับ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ......!!

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

บทเรียน กรณี “แพรวา”



                วันเกิดเหตุ คือ 27 ธันวาคม 2553  เหตุการณ์ผ่านไป  9 ปี จนคดีทุกคดีสิ้นสุดลง ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง   ซึ่งในที่สุดศาลอาญาก็มีคำพิพากษาลงโทษ   เมื่อวันที่ 22 เม.ย.57 จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นให้รอลงอาญา ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้รอลงอาญาเป็นเวลา 4 ปี และให้คุมประพฤติจำเลยเป็นเวลา 3 ปี โดยให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลา 3 ปี รวม 144 ชั่วโมง รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์  ซึ่งในกรณีอาญานี้ทุกอย่างจบเรียบร้อยไปแล้วรวมทั้งการคุมประพฤติ การรอกำหนดโทษ และ การบำเพ็ญประโยชน์  จำเลยได้ปฏิบัติครบถ้วนแล้ว (ศาลฏีกา ไม่รับฎีกา)
                ส่วนคดีแพ่งล่าสุดเมื่อ 8 พฤษภาคม 2562 ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าให้ชดใช้โจทย์ 28 ราย (เสียชีวิต  9 ราย )  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น  24.7 ล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ยซึ่งระยะเวลาที่เนินนานมาถึง 9 ปี ทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มพูนเป็นหลายสิบล้านบาทแล้ว  
แล้ว.......สังคมได้เรียนรู้อะไรบ้างสำหรับกรณีนี้บ้าง ??? 
ซึ่งแตกต่างจากหลายคดีที่เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิต   ลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ลูกชายโหน่ง ชะช่าช่า ที่ขับรถชนวิศวกรจนเสียชีวิตเช่นเดียวกัน   แต่ว่าโหน่งพาลูกชายไปกราบศพและขอโทษครอบครัวผู้เสียชิวิต  และประกาศรับผิดชอบพร้อมส่งเสียลูกผู้เสียชีวิตในด้านการศึกษา     ส่วนเสี่ยรถเบนซ์ที่เมาแล้วขับรถชนตำรวจเสียชิวตก็บวชอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย  และมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชิวิต 45 ล้านบาท
                ในขณะที่กรณี “แพรวา” ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าขณะเกิดเหตุน้องอายุแค่ 16-17 ปี  ยังเป็นเยาวชนซึ่งคงจะแบกรับสถาณการณ์ได้ไม่ดีเช่นผู้ใหญ่  แต่ครอบครัวบิดามารดาย่อมต้องเป็นเสาหลักในการให้คำแนะนำ สิ่งที่ทั้ง”แพรวา “ และครอบครัวควรที่จะกระทำในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งมิได้หมายถึงการชดเชยให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ  แต่ผมหมายถึง
                ...........การแสดงความรู้สึกเสียใจอย่างแท้จริง
                ...........การไปร่วมเคารพศพ  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย
                ............การไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ
                ............การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ  ซึ่งต้องควรช่วยเหลือตามกำลังฐานะ ณ. ขณะนั้นๆ  แม้จะไม่มากมายถึง  45 ล้าน หรือ รับส่งเสียอุปการะการศึกษาบุตรผู้เสียหาย  แต่ก็ควรจะช่วยเหลือเท่าที่ครอบครัวจะสามารถช่วยได้    การที่ครอบครัวมีที่ดิน 21 ไร่ บ้านในหมู่บ้านใหญ่โตมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 50 ล้านบาท  ย่อมต้องแสดงออกถึงความมีฐานะทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง   แต่นี่กลับไม่ได้ช่วยเหลือตามสมควรโดยปล่อยให้ว่างเว้นไว้ถึง 9 ปี  และจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้เสียหาย  ได้รับเงินช่วยเหลือในระดับหมื่นเท่านั้นเอง 
                ...........รวมทั้งการแสดงออกและคำพูดของทนายความยังไปทำร้ายจิตใจของผู้เสียหายและครอบครัวเพิ่มเข้าไปอีก  ทำให้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึก   ยิ่งปล่อยให้เวลาเนินนานมา ถึง 9 ปี จนศาลสูงสุดตัดสินซึ่งในระหว่างนั้นก็สามารถมอบเงินช่วยเหลือ     ตามกำลังความสามารถของครอบครัวได้อยู่แล้วแต่ไม่ทำ  มาวันนี้บอกมีทรัพยสินมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท    คนมีทรัพยสินขนาดนี้จะบอกว่ามีเงินสดหรือสังหาริมทรัพย์อื่นๆ  กระเป๋า  เครื่องเพชร ฯลฯ  จะไม่มีเลยกระนั้นหรือ ???    แล้วทำไมจึงช่วยเหลือแค่หลักหมื่น ???  เลยยิ่งทำให้อารมณ์ของสังคมนั้นไม่สามารถยอมรับต่อพฤติกรรมนั้นได้ 
                       จนเป็นกระแสที่ทำให้ครอบครัวและน้องแพรวาไม่สามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีปกติสุข  ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลากีปีที่ครอบครัวนี้จะมีความรู้สึกปกติ..........หรือ..........อาจจะไม่มีโอกาสเลยก็ได้.....หรือไม่ ????    
                การบริหารความรู้สึกของผู้เสียหาย  และ สังคมนั้นเป็นสิ่งเปราะบาง  ยิ่งในสังคมเทคโนโลยี่  โซเชียลมีเดียนั้นมันรุนแรง  และ เร้าร้อน  จึงเป็นสิ่งที่ใครก็ตามต้องให้กรณีนี้เป็นบทเรียนและบริหารความรู้สึกของผู้เสียหายและสังคมให้เหมาะสมต่อไป 
               

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

“กระตุ้นเศรษฐกิจ ใครๆก็คิดได้ “





                     “กระตุ้นเศรษฐกิจใครๆก็คิดได้”  แต่ดูเหมือนว่า  “ใครจะทำแล้วถูกทางมากกว่า”   ถ้าจำได้ผมเคยเขียนบทความเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจมีเครื่องยนต์อยู่ 4 ตัว ตามสมการ (ขอทบทวนหน่อย)  ดังนี้
GDP = C+I+G+(EX-IM)
     1) การบริโภคและจับจ่ายในประเทศ ( Consumer Spending ) : คือยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเพื่อการอุปโภคบริโภค  ภาษาชาวบ้านคือยอดซื้อของทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยนั่นเอง  วันนี้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง  ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยเหมือนในอดีตที่ผ่านมา  แม้ว่าเงินเดือนจะไม่ลดแต่ของแพงขึ้นก็เป็นปัจจัยทำให้กำลังซื้อลดลง ในขณะที่ค่าล่วงเวลาของพนักงานมีรายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเพราะโรงงานยอดขาย / ยอดส่งออก คงที่หรือลดลง ก็ย่อมกระทบกับกำลังซื้อ  แถมราคาพึชผลเกษตรลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็ยิ่งทำให้ประชากรฐานรากขาดกำลังซื้อ   ซึ่งรายได้ส่วนนี้รวมถึงยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยเรา  ซึ่งอัตราการเติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมายโดยคาดว่าจะลดเหลือ 3.2 ล้านล้านบาท  แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2.1 ล้านล้านบาท และรายได้จากคนไทยท่องเที่ยวในประเทศ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ ถึง 180,000 ล้าน แล้วถ้าครึ่งปีหลังยอดตกกว่าคาดการ์ณนี้ละ 
โอ้ว....พระเจ้าไม่อย่านึกเลย จริงๆๆ
                 2) การลงทุนภาคเอกชน (Investment ) : ง่ายก็คือบริษัท ห้างร้านเอกชน เอสเอ็มอี  ลงทุนในกิจการต่างๆ  ง่ายๆเลยก็เมื่อคนซื้อของน้อย ส่งออกน้อยลง กำลังผลิตเหลือ เอกชนก็ไม่ขยายการลงทุนไม่ปรับปรุงเครื่องจักร คือไม่แจ่มใสนั่นเอง
                 3) การลงทุนภาครัฐ ( Government Spending ) ชื่อก็บอกแล้วว่าเงินที่รัฐนำมาลงทุนต่างๆ  ถนน น้ำ ไฟ รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคต่างๆ   ซึ่งตามแผนระหว่าง ปี พ.ศ 2558 - 2565 ( 8 ปี ) จะลงทุนถึง  3 ล้านล้านบาท ก็หวังว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย  แต่ที่สำคัญถ้าเศรษฐกิจเติบโตน้อยรัฐก็เก็บภาษีได้น้อยแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน  ง่ายนิดเดียวก็ “ กู้ / ออกพันธบัตร”  นั่นเอง  แล้วจะต้องกู้อีกกี่ปีใช้อีกกี่ชาติ  “ต้องไปถามลุงตู่”เอาเองตอนนี้หนี้ก็ท่วมหัวอยู่แล้ว เพราะที่ลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจไปนั้นมันไปเข้ากระเป๋าบริษัทใหญ่ๆหมดไม่ถึงประชกรฐานราก  ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ที่ขายของอยู่ปากซอย
                 4) การส่งออก ( Net Export ) : คือยอดส่งสินค้าออก ลบ ด้วยยอดสั่งซื้อสินค้านำเข้า ซึ่งแน่นอนว่าปีนี้ 2562 ไทยเราจะส่งออกติดลบครั้งแรกในรอบเกือบสิบปีอย่างแน่นอน  ผลจากที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกก็เลยจะซื้อสินค้า และมาท่องเที่ยวบ้านเราน้อยลง  และแถมค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกยิ่งทำให้ของที่จะขายแพงขึ้นทำให้ลดความสามารถในการแข่งขันก็ยิ่งทำให้ส่งออกน้อยลงไป  เฮ้อ......มันวนเป็นวัวพันหลัก  หาทางออกไม่เจอ ???
                                แล้วตลอด 5 ปี ที่ผ่านมารัฐบาลลุงตู่ 1 ก็กระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้เงินไปไม่รู้กี่  “ล้านล้าน” บาท แล้วทำไมยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเห็นเป็นรูปกระทำเลย  ผมก็เลยคิดเล่นๆแบบชาวบ้านที่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน  เรียนมาแค่ 1 คอรส์เองเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว  และขอนำเสนอแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “บ้าน บ้าน”  เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ  และ การบริโภคในประเทศ
                1.นักท่องเที่ยวต่างชาติ   ให้การบินไทย ซื้อตั๋ว (ราคาเต็ม เพราะทุกวันนี้ขายลดราคาอยู่แล้ว )  1 คน แถม  1 คน มาเลย หรือ ซื้อบิสิเนสคลาส  แถมอีโคให้อีก 1  เพื่อให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
                2.ให้สมาคมโรงแรมออกแคมเปญ  พักฟรี  2 วัน เลย เอามาให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเองพักฟรี  เพราะว่า โรงแรมว่างอยู่แล้วเอามาให้พักฟรี  (โรงแรมมีแค่ ต้นทุนค่าน้ำไฟ และ ซักรีด เท่านั้น)  จำนวนหนึ่ง สมมุติ มี  100 ห้อง อัตราเข้าพักอยู่ที่ 50 ห้อง ก็เอามาให้  10-20 ห้อง แล้วแต่ละโรงแรมหรือขอห้องพัก 5 %ของช่วงโลวซีซัน  ตัวอย่าง  3 เดือน 90 วัน รร.มีจำนวนห้อง 100  ก็จะนับได้ว่ามีรูมไนท์ 9,000 รูมไนท์ ตัดมา 5% ก็ให้มา 45 รูมไนท์มาเลย โดยมอบให้กับทาง ททท. หรือ สมาคมโรงแรมเป็นผู้จัดสรร  หรือมอบให้สายการบินเป็นผู้แจก เรย รับรองปังดังโดนแน่ๆ
                3.ตอนนี้มีบริการทำวีซ่าเมื่อเดินทางมาถึงอยู่แล้ว VOA =VISA ON ARRIVAL แต่ว่าต้องมายืนรอหากมีนักท่องเที่ยวมากๆ   แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่สถานทูทไทยไม่เคยใช้  คือ การให้วีซ่า  ที่สามารถเข้าออกได้หลายครั้ง   MULTIPLE VISA  และให้ระยะเวลายาวไปเลย  เช่น  2 ปี   ตัวอย่างแคนาดาให้วีซ่าตลอดอายุของพาสปอร์ต์ที่เราไปขอวีซ่า   แชงเก้น(ยุโรป) ให้ 1 ปีบ้าง  2 ปี บ้าง แล้วแต่ขอ แล้วแต่ประวัติของพาสปอร์ต  ทำแบบนี้ทำให้เพิ่มโอกาสในการเดินทางมากขึ้น  หรือถ้าจะให้ดีก็ให้ฟรีวีซ่าไปเลย แบบญี่ปุ่น  ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าญี่ปุ่นนั้นเพิ่มจนเกือบจะ  40 ล้านคน ใกล้เคียงกับประเทศไทยแล้ว   ที่ทราบเพราะว่ามีลูกค้าหลายคนขอวีซ่ามาไทยยากมากๆ  แถมขอแบบเข้าออกหลายครั้งก็ไม่ได้ไม่ยอมให้อีกต่างหาก  กระทรวงต่างประเทศควรปรับนโยบายได้แล้ว  มาขอปุ๊บให้ไปเลย 1 ปี  ซึ่งโดยปกติแล้วค่าธรรมเนียมวีซ่าก็จะมากกว่าที่เข้าออกครั้งเดียวอยู่แล้ว  แต่จะสามารถเพิ่มโอกาสในการเดินทางได้อีก   
                4.แจกบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ เช่น สวนนงนุช  ฟาร์มจรเข้  ภูเก็ตแฟนตาเซีย ฯลฯ หรืออาจจะแค่ 1 แถม หนึ่ง  หรือ 1 แถมสองไปเรย
                5.ห้างร้านทั้งหลายจัดแคมเปญลดแบบสุดๆ  และ ขอคืนภาษีแวตได้โดยปรับให้เป็นแบบญี่ปุ่น คือซื้อร้านไหนลดเดี๋ยวนั้นเลย   ไม่ต้องไปรอขอคืนที่สนามบินอย่าไปกลัวว่าซื้อแล้วจะไม่นำกลับออกไป ซื้อแล้วมอบสินค้านั้นให้คนไทยก็เกิดการจับจ่ายใช้สอย  อย่าไปกลัวว่าคนไทย ร้านไทย จะมั่วมาซื้อแบบไม่มีแวตเพราะเราสามารถกำหนดร้าน / ห้างที่น่าเชื่อถือ (ไม่โกง) / เอาท์เล็ต   ให้เป็นจุดที่จะจัดทำแคมเปญนี้   อาจโดยต้องรูดพาสปอร์ตเพื่อแสดงตัวตนให้ชัดเจนซึ่งปัจจุบันนี้เทคนโนโลยี่ตัวนี้ไม่แพงเพราะที่คิงส์พาวเวอร์มีใช้ทุกจุดชำระเงินอยู่แล้ว
                ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นมาตราการระยะสั้น  สามารถทำได้ทันที่แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องดำเนินมาตราการะยะยาว  เช่นที่ทุกหน่วยงานทราบดีว่าต้องพัฒนาแห่งท่องเที่ยว  ฯลฯ อยู่แล้ว    ที่สำคัญต้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันจัดทำแคมเปญในช่วงเวลาเดียวกัน (ช่วงโลว์ซีซั่น) และต้องทำเป็นจังหวัด หรือกลุ่มจังหวัด  เพื่อจะได้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เหมือน ฮ่องกงท่ำแคมเปญลดทั้งเกาะ เป็นต้น  เชื่อได้ว่าจะสามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติได้และเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆแล้ว  ก็จะเกิดการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มตัวเลขจีดีพีได้อย่างมีนัยสำคัญ  แล้วก็จะวนมาเรื่องการลงทุนของภาคเอกชน   เพราะถ้ารอแต่การส่งออกตามลำพัแล้วคงเป็นหมันแน่นอน


ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...